“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” เผย ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยยังคงขยับขึ้นสวนทางเศรษฐกิจ ห่วงคนตกงาน “ขาดรายได้” ฉุดคุณภาพหนี้
วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกบทวิเคราะห์ว่า จากข้อมูลหนี้ครัวเรือนล่าสุดในไตรมาส 2/2563 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สะท้อนว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงขยับขึ้นสวนทางเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลของโควิด-19
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
- BITE SIZE : ขึ้นค่าแรง 10 จังหวัด-ปรับเงินเดือนข้าราชการ เพิ่มขึ้นเท่าไร
ซึ่งส่งผลทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 18 ปีครั้งใหม่ที่ 83.8% ต่อจีดีพี สูงขึ้นต่อเนื่องจากในไตรมาส 1/2563 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 80.1% ต่อจีดีพี
เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (Quarter on Quarter) ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 9.22 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 2/2563 เร่งขึ้นจากที่เพิ่มเพียง 1.2 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 1/2563 โดยทิศทางหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สะท้อนภาพ 2 ด้านซึ่งแตกต่างกัน เพราะในขณะที่ประชาชนและครัวเรือนบางกลุ่มก่อหนี้เพิ่มขึ้น อาทิ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย แต่ประชาชนและครัวเรือนอีกหลายกลุ่มต้องรับมือกับปัญหาขาดสภาพคล่องและต้องการมาตรการช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน
สำหรับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2563 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงมุมมองเดิมว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะยังเป็นหนึ่งในมาตรวัดที่สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย โดยหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มขยับขึ้นมาอยู่ที่กรอบ 88-90% ต่อจีดีพีในปี 2563 จากระดับ 83.8% ต่อจีดีพีในไตรมาส 2/2563
เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มหดตัวลงในครึ่งปีหลัง ขณะที่ระดับหนี้ครัวเรือนยังเติบโตต่อเนื่อง แม้จะเป็นอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2562 ทั้งนี้ผลกระทบจากเศรษฐกิจ ทำให้ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของครัวเรือนหลายกลุ่มด้อยลง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง
และแม้ว่ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำลง จะช่วยให้ภาระทางการเงินของลูกหนี้เบาตัวลง แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ประเด็นการมีงานทำและรายได้ของครัวเรือนจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดคุณภาพของหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้