ส่องอนาคตหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ‘ดิ เอราวัณ กรุ๊ป’ อ่วมนัดชุมนุมกลางเมือง

ภาพประกอบข่าวหุ้นกลุ่มโรงแรม

3 โบรกฯ วิเคราะห์อนาคตหุ้นท่องเที่ยว เครือโรงแรม ‘MINT-CENTEL’ ได้ไปต่อ อานิสงส์มาตรการกระตุ้นใช้จ่ายของภาครัฐ แนวโน้มธุรกิจระยะกลางยาวยังแข็งแกร่ง ฝั่ง ‘ERW’ เสี่ยงสูงจากเหตุนัดชุมนุมกลางเมือง

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยปรับมุมมองกลุ่มท่องเที่ยวเป็นบวก หลังจากปิดประเทศมาตั้งแต่เดือน เม.ย.63 จนถึงวันอังคารที่ผ่านมา (20 ต.ค.) ประเทศไทยได้เปิดรับรับนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 41 คนที่ยอมกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 90 วัน แม้ว่าจำนวนที่คาดว่าจะเข้ามาถึงสิ้นปี 2563 จะยังน้อยที่ประมาณ 1,200 ราย

อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าอาจมีการลดระยะเวลากักตัวเหลือ 7 วัน (อาจเป็นภายในวันที่ 15 พ.ย.ตามกระทรวงสาธารณสุข หรือต่อมาอาจไม่มีการกักตัว ในกรณีสำหรับประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อต่ำ) ซึ่งหากปรับลดระยะเวลาการกักตัวให้สั้นลงอาจดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน 10 ล้านคนที่เคยมาเยือนประเทศไทยในปี 2562 แต่ทั้งนี้ แม้จะยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่ยังกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบันที่ยังไม่สามารถคาดเดาได้และอาจใช้เวลาในการแก้ไข

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยเราพบว่า บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) มีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษเพราะอยู่ในพื้นที่ประท้วงหลัก (แยกราชประสงค์และบริเวณใกล้เคียง) ในกรุงเทพฯ โดยประมาณ 26% (ไฮแอท 20% คอร์ตยาร์ด 6%) ของรายได้จากโรงแรมทั้งหมดมาจากโรงแรมสองแห่งในพื้นที่นี้ และทุกครั้งที่การประท้วงทวีความรุนแรงขึ้น ราคาหุ้นของ ERW มีแนวโน้มจะลดลง สำหรับ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) มีสัดส่วนอยู่ที่ 14% บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) 10% และ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) น้อยกว่า 3% (กรุงเทพฯ)

อย่างไรก็ดี รายได้โรงแรมของ MINT ประมาณ 60% อยู่ในยุโรป ดังนั้น การติดเชื้อที่มากขึ้นในภูมิภาคดังกล่าวอาจส่งผลต่อการฟื้นตัว ด้วยเหตุนี้ MINT จึงชะลอการกลับมาเปิดโรงแรมใหม่และคาดว่าจะเปิดให้บริการเพียง 90% ภายในสิ้นปี 2563 ลดลงกว่า 100% จากที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าในระยะสั้นการฟื้นตัวของ MINT อาจได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้ แต่ในอีกสามถึงหกเดือนข้างหน้าจะมีวัคซีนให้บริการ และอย่างน้อยก็ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทยา Moderna ของสหรัฐอเมริกามีแผนจะได้รับการอนุมัติภายในสิ้นเดือน พ.ย.ปีนี้

“เรายังคงมอง MINT เป็นหุ้นเด่นของเรา ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท เนื่องจากธุรกิจโรงแรมในยุโรปฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เรายังชอบ CENTEL แนะนำซื้อเช่นกันที่ราคาเป้าหมาย 32.00 บาท เนื่องจากธุรกิจอาหารฟื้นตัวดี คิดเป็น 60% ของรายได้” ฝ่ายวิจัย ระบุ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากเป็นนักลงทุนระยะกลางยาว ที่ระดับราคาดังกล่าวของหุ้นกลุ่มโรงแรมเป็นจุดที่น่าเข้าสะสม เนื่องจากคาดว่าแนวโน้มธุรกิจท่องเที่ยวของไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัว หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/63 อย่างไรก็ดี แนะนำนักลงทุนรอซื้อหลังงบไตรมาส 3/63 ประกาศออกมาเรียนร้อยแล้ว แม้ว่าผลดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมจะยังไม่กลับมาเป็นบวกเร็วๆ นี้ แต่เชื่อว่างบการเงินในไตรมาส 3 และ 4 จะเห็นการติดลบน้อยลง

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า หลังภาครัฐขยายเวลาโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และ “กําลังใจ” ไปถึง 31 ม.ค.64 ขณะที่ข้อมูล ณ วันที่ 4 ต.ค.63 โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” มีผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 5.27 ล้านคน และมีผู้มาใช้สิทธิแล้ว 1.41 ล้านคืน จากทั้งหมด 5 ล้านคืน ในขณะที่ตั๋วเครื่องบินมีผู้ใช้สิทธิแล้ว 52,000 สิทธิ จาก 2 ล้านสิทธิ สําหรับโครงการ “กําลังใจ” มีบริษัทนําเที่ยวเข้าร่วมกว่า 4,000 พันบริษัท มีบุคลากรเข้าร่วม จํานวน 3.8 แสนราย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ศบค.เห็นชอบขยายระยะเวลาดําเนินการทั้ง 2 โครงการจากเดิมสิ้นสุด 31 ต.ค.63 เป็น 31 ม.ค.64 และเพิ่มสิทธิให้สามารถใช้ภายในจังหวัดภูมิลําเนาได้

โดยทางฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มโรงแรมในประเทศมากขึ้น โดยช่วงเดือน ก.ค.- ก.ย. โครงการดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้กับ CENTEL กว่า 100 ล้านบาท และ ERW 60 ล้านบาท รวมถึงสร้างรายได้ให้แก่กลุ่มการบินหลักๆ เช่น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) และ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) เนื่องจากเป็นสายการบินกลุ่มต้นทุนต่ำ (Low Cost) นอกจากนี้ ยังเป็นอานิสงส์ต่อกลุ่มค้าปลีกและเดินทาง

ขณะที่การเปิดรับนักท่องเที่ยวพิเศษ Special Tourist VISA (STV) ที่เริ่มในเดือน ต.ค.นี้ พบว่า มีชาวต่างชาติที่แจ้งความประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทยภายใต้ STV รวมกว่า 1,600 คน แบ่งเป็นจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก 924 คน ภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้และแปซิฟิก 229 คน และภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง 462 คน รวมถึงมีผู้สอบถามเข้ามาอีกกว่า 600 คน

ทั้งนี้ ปัจจุบันมี 5 จังหวัดที่สามารถรองรับการกักตัวได้ ซึ่งแบ่งเป็นโรงแรมใน กทม. (Alternative State Quarantine: ASQ) 84 แห่ง ได้แก่ ชลบุรี บุรีรัมย์ ภูเก็ตและปราจีนบุรี (Alternative Local Quarantine: ALQ) กว่า 11 แห่ง แม้หุ้นกลุ่มโรงแรมยังเข้าร่วมโครงการฯ ไม่มาก ยกตัวอย่างเช่น ERW ร่วมเพียง 1 แห่ง CENTEL 3 แห่ง และ MINT จํานวน 6 แห่ง แต่ในอนาคตคาดมีโอกาสจากการเข้าพักระยะยาวหรือตามกําหนดของมาตรการ

ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัยแนะนํา “ลงทุนปกติ”  โดยเลือก CENTEL เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม (Top Pick) หลังจากที่ประเมินว่าแนวโน้มการดําเนินงานของกลุ่มจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น หากมาตรการดังกล่าว รวมถึงโอกาสที่ภาครัฐจะลดเวลากักตัวนักท่องเที่ยวเหลือ 10 วันจาก 14 วัน โดยเน้นประเทศที่มีความเสี่ยงตํ่าและยอดติดโควิด-19 น้อย ซึ่งกรมควบคุมโรคอยู่ระหว่างจัดทํารายละเอียด

“หากผ่านไปได้ด้วยดีคาดจะเป็นอีกแรงหนุนให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น จากส่วนใหญ่ติดปัญหาข้อกําหนดการกักตัวและเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ยังน้อยกว่าปกติ อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายแนะนํา ‘ลงทุนปกติ’ โดยเลือก CENTEL เป็น Top Pick ของกลุ่มที่ราคาเป้าหมาย 25.00 บาท” ฝ่ายวิจัย ระบุ

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” โดยใช้โอกาสในปีนี้ที่อุตสาหกรรมเผชิญภาวะผิดปกติเพื่อสะสมหุ้นชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่มีศักยภาพ การแข่งขันโดดเด่นเป็นผู้นำกลุ่ม และมีโครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่งเพียงพอผ่านวิกฤตไปได้ อย่างไรก็ดี ในเชิงกลยุทธ์นักลงทุนอาจใช้จังหวะที่มีวัคซีนเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการทั่วโลกเป็นจังหวะในการเพิ่มน้ำหนักหุ้นในกลุ่ม

“เราเลือก MINT ราคาเป้าหมาย 27.60 บาท CENTEL 29.30 บาท และ AOT 62.50 บาท เป็นตัวเลือกหลัก ขณะที่ตัวเลือกรองของกลุ่ม เราเลือก บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ราคาเป้าหมาย 3.08 บาท และ บมจ.สยามเวลเนสกรุ๊ป (SPA) เป็นตัวเลือกรองของกลุ่ม โดยความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ พัฒนาการของวัคซีนที่ล่าช้า และการระบาดรอบสองที่ยาวนานกว่าคาด” ฝ่ายวิจัย ระบุ