เอฟเฟ็กต์โควิด ทุบรายได้ 7-Eleven ฉุดกำไร “CPALL” 9 เดือนวูบ 22.5%

CPALL

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ “CPALL” แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2563 โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 3,998 ล้านบาท

ซึ่งในไตรมาส 3 ดังกล่าว บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 135,500 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 38% โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับตัวลดลงของรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ อันเป็นผลกระทบต่อเนื่องจาก COVD-19 ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าการบริโภคภายในประเทศหดตัวน้อยลงจากผลของการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐ แต่มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ยังมีอยู่ ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามา

อีกทั้งผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่วนหนึ่งจำกัดอยู่ในกลุ่มสินค้าจำเป็นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบเชิงลบจากพายุฝนที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในระหว่างไตรมาส ส่งผลให้จำนวนลูกค้าเข้าร้านลดลง ขณะที่รายได้จากการขายและบริการของธุรกิจค้าส่งแบบชำระเงินสดและบริการตนเองในประเทศสามารถกลับมาเติบโตได้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงรายได้จากการขายของธุรกิจในต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2563 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวมจำนวน 409,381 ล้านบาท ลดลง 3.2% จากช่วงเดียวกันของปืก่อน จากผลกระทบมาตราการควบคุมการระบาดของ COVD- 19 จกรัฐบาล ตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิมีจำนวน 12,530 ล้านบาท ลดลง 22.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรต่อหุ้นตามงบการเงินรวมมีจำนวน 1.38 บาท

ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ

ทั้งนี้ เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายในระยะไกลที่จะมีจำนวนสาขาให้ครบ 13,000 สาขา ภายในปี 2564 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อได้มีขยายสาขา 7-Eleven อย่างต่อเนื่อง ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเปิดร้านสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 136 สาขาในทุกประเภท ทั้งร้านสาขาบริษัท ร้าน tore business partner (SBP) และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย

ดังนั้น ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทมีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 12,225 สาขา แบ่งเป็น 1) ร้านสาขาบริษัท 5,527 สาขา (คิดเป็น 45%) ร้านเปิดใหม่สุทธิ 71 สาขา ในไตรมาสนี้ 2) ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 6,698 สาขา (คิดเป็น 55%) ร้านเปิดใหม่สุทธิ 65 สาขา ในไตรมาสนี้

โดยร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งคิดเป็น 85% ของสาขาทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.

สำหรับในไตรมาส 3 ปี 2563 กลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ มีกำไรก่อนต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เท่ากับ 5,668 ล้านบาท ลดลง 26.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและมีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,842 ล้านบาท ลดลง 31.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2563 กลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ มีรายได้รวมจำนวน 249,641 ล้านบาท ลดลง 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรสุทธิมีจำนวน 13,172 ล้านบาท ลดลง 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน