ส่องกองทุนใหม่เดือน ธ.ค. ‘RMF-SSF’ ลดหย่อนภาษี ลงทุนต่างประเทศ

ภาพประกอบข่าวกองทุน-การลงทุน
Photo by Akil Mazumder from Pexels

บลจ.เข็นสารพัดกองทุนน่าลงซื้อช่วงโค้งสุดท้าย ‘บัวหลวง’ ส่งกองทุนคู่แฝด ‘RMF-SSF’ ชูลงทุนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีท้ายปี ฝั่ง ‘ไทยพาณิชย์-กรุงไทย’ ลุยออกกองทุนลงทุนต่างประเทศ

นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ Head of Business Distribution บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า กองทุนบัวหลวงสนับสนุนให้นักลงทุนเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อเป้าหมายการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างสุขสบาย รวมทั้งลงทุนเพื่อเป้าหมายในระยะ 10 ปีข้างหน้า ผ่านกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) โดยที่ผ่านมา กองทุนบัวหลวง ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ดูแลเงินลงทุนระยะยาวมากที่สุดในอุตสาหกรรม

“ตลอดเส้นทางการลงทุนนั้น อาจจะต้องเจอความผันผวนบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งเราจะผ่านสถานการณ์เช่นนี้ไปได้ ถ้าเรามองตรงไปยังเป้าหมายการลงทุน แล้วยืนหยัดลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยระยะเวลาที่ยาวเพียงพอ และรู้จักจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น แทนที่จะลงทุนแต่ในประเทศอย่างเดียว ถ้ามีความสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้สูงขึ้นอีกนิด ก็อาจเริ่มลองจัดสรรเงินบางส่วนลงทุนในต่างประเทศบ้าง เพื่อเพิ่มโอกาสลงทุนกับธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มโลก ที่เมืองไทยอาจยังไม่มี” นายวศิน กล่าว

สำหรับ กองทุนบัวหลวง มีกองทุนรวม RMF ให้เลือกถึง 19 กองทุน เช่น กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยีเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INNOTECHRMF) สำหรับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นพื้นฐานการพัฒนาสินค้า บริการ เพื่อวันนี้และอนาคต กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCARERMF) เพื่อผู้ที่สนใจนวัตกรรมการดูแลและรักษาสุขภาพ หรือกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีนเอแชร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (B-CHINAARMF) สำหรับผู้ที่อยากลงทุนในแผ่นดินจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกและจะกลายเป็นอันดับ 1 ในไม่ช้า เป็นต้น

ส่วนใครที่ตั้งใจลงทุนเพื่อเป้าหมายในอีก 10 ปีข้างหน้า กองทุนบัวหลวงมีกองทุน SSF ให้เลือกทั้งหมด 4 กองทุน กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นฟิวเจอร์เพื่อการออม (B-FUTURESSF) สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนกับผู้ผลิตนวัตกรรมสินค้าและบริการ กองทุนเปิดบัวหลวงอินคัมเพื่อการออม (B-INCOMESSF) สำหรับผู้ที่ต้องการกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย หรือถ้าอยากเน้นลงทุนในหุ้นไทยก็มีให้เลือก ทั้งกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นไทยเพื่อการออม (BEQSSF) และกองทุนผสมบัวหลวง 70/30 เพื่อการออม (BM70SSF)

“ไม่ว่าจะมีเป้าหมายเก็บเงินเพื่อวัยเกษียณ หรือจะเตรียมเงินก้อนไว้ใช้ทำอะไรในอนาคต กองทุนบัวหลวงก็มีทั้งกองทุน RMF และ SSF ที่ตอบความต้องการของนักลงทุนได้ เลือกกองทุนที่ใช่ สไตล์ที่ชอบ แล้วลงทุนเลย” นายวศิน กล่าว

ทั้งนี้ จากข้อมูลของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2563 ผู้ลงทุนมอบความไว้วางใจให้กองทุนบัวหลวงบริหารเงินกองทุน RMF ให้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) รวม 71,679.64 ล้านบาท สูงที่สุดในอุตสาหกรรม ทั้งยังไว้วางใจให้ดูแลเงินลงทุนในกองทุน SSF ถึง 2,221.12 ล้านบาท อยู่ในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม

ด้าน นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเห็นโอกาสจากการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ จึงได้นำเสนอขายกองทุนคอมเพล็กซ์รีเทิร์นต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนตามตราสารทุนที่จดทะเบียนซื้อขายในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ จากการลงทุนในสัญญาวอร์แรนต์ที่อ้างอิงกับ MSCI Emerging Markets Index (USD) พร้อมโอกาสลดความเสี่ยงการขาดทุนของเงินต้นผ่านการเลือกลงทุนในตราสารที่มีคุณภาพ

โดยบริษัทฯ ได้เปิดเสนอขาย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ คอมเพล็กซ์รีเทิร์น 1YJ (SCB Complex Return 1YL : SCBCR1YL) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย กองทุนมีอายุ 1 ปี มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งเดียว ระหว่างวันที่ 1 – 9 ธันวาคม 2563 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท

สำหรับกองทุนนี้มีกลยุทธ์การลงทุนแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 นําเงินต้นประมาณ 98% ของทรัพย์สินกองทุนไปลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากทั้งในและต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับลงทุนได้ขึ้นไป เมื่อครบกําหนดอายุกองทุนจะได้รับเงินลงทุนคืนพร้อมโอกาสรับผลตอบแทนซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินต้น การลงทุนส่วนนี้มีความผันผวนต่ำช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุนเงินต้นได้ ซึ่งกองทุนจะเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

ส่วนที่ 2 ประมาณ 2% ของทรัพย์สินกองทุน จะนำไปลงทุนในสัญญาวอร์แรนต์ที่อิงกับผลตอบแทนของ MSCI Emerging Markets Index (USD) เน้นสร้างผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานของตราสารทุนที่จดทะเบียนซื้อขายในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ผ่าน MSCI Emerging Markets Index (USD) ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งดัชนีประกอบด้วยหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลางที่จดทะเบียนซื้อขายในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ จำนวน 26 ประเทศ ครอบคลุม 1,387 หุ้น หรือประมาณ 85% ของตลาดในแต่ละประเทศ โดยคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (free float-adjusted market capitalization)

สำหรับสัญญาวอแรนต์ดังกล่าวมีลักษณะการจ่ายผลตอบแทนแบบ Shark fin ซึ่งเป็นส่วนสร้างผลตอบให้กับกองทุน โดยแบ่งการจ่ายผลตอบแทนเป็น 3 กรณี คือ กรณีที่ 1 จ่ายผลตอบแทน 40% ของผลตอบแทนของดัชนี เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นระหว่าง 0 ถึง 15% กรณีที่ 2 จ่ายผลตอบแทนชดเชยประมาณ 0.25% เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นเกิน 15% ระหว่างอายุกองทุน และกรณีที่ 3 ไม่จ่ายผลตอบแทนหากดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่าราคา ณ วันลงทุนเมื่อครบกำหนดอายุกองทุน

โดย MSCI Emerging Markets Index (USD) มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ย -1.16% ต่อปี ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 10.54% ต่อปี ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 2.42% ต่อปี และย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 8.97% ต่อปี (ที่มา: MSCI Emerging Markets Index (USD) ณ Bloomberg ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563)

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากนโยบายทางด้านการค้าของโจ ไบเดน คาดว่าจะผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะในทวีปเอเชีย เช่น จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ หลังจากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่ายังคงมีความเสี่ยงด้านความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความผันผวนในกลุ่มประเทศอเมริกาใต้และยุโรปตะวันออกจากนโยบายป้องกันการแพร่ระบาดและราคาน้ำมันที่ยังมีความผันผวนสูงอยู่

ดังนั้นกองทุน SCBCR1YL ที่มีรูปแบบการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานของตราสารทุนที่จดทะเบียนซื้อขายในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ประกอบกับมีโอกาสได้รับผลตอบแทนชดเชยในระดับที่น่าสนใจหากตราสารทุนที่จดทะเบียนซื้อขายในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับตัวขึ้นมากกว่าที่คาด จึงเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนในสภาวะเช่นนี้ได้เป็นอย่างดี

ส่วน นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดขายซีรีส์ กองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก อายุโครงการประมาณ 1 ปี มาแล้ว 10 รุ่น และได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่องจนสามารถระดมทุนได้กว่า 26,900 ล้านบาท โดยบริษัทยังเดินหน้าเปิดเสนอขายอีก1 กองทุน คือ กองทุนเปิดกรุงไทย โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม 1Y11 (KTGF1Y11) ตั้งแต่วันนี้ ถึง 4 ธันวาคม 2563 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่มองหากองทุนที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนในจำนวนเงินที่แน่นอนหรือสามารถรักษาเงินต้นให้อยู่ครบ

นอกจากนี้ กองทุนดังกล่าวยังเป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนที่เน้นตราสารหนี้ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจผันผวนด้วยความไม่แน่นอนของยอดผู้ติดเชื้อโควิด ที่ในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกไปแล้วกว่า 63 ล้านคน และยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 620,000 รายต่อวันทั่วโลก

กองทุนเปิดกรุงไทย โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม 1Y11 เป็นกองทุนตราสารหนี้ โดยจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทตราสารหนี้ รวมกันทุกขณะไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมี นโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก และ/หรือตราสารการเงินที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารอยู่ในอันดับ ที่สามารถลงทุนได้ (investment grade) และ/หรือลงทุนในหน่วย CIS ของกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินประเภท ตราสารหนี้

อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหรือของผู้ออกตราสารต่ำกว่า ที่สามารถลงทุนได้ (non – investment grade) และ/หรือตราสารแห่งหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

ทั้งนี้ กองทุนจะพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่เสนอขายในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน และ/หรือลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด หรือเห็นชอบให้ลงทุนได้ ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่า ทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือ กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ที่เสนอขายในประเทศ ได้แก่ เงินฝาก ตราสารทางการเงิน ตราสารแห่งหนี้ และ/หรือ ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด

ทั้งนี้ กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน (Efficient Portfolio Management) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. และ/หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด และอาจลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) รวมถึงอาจพิจารณาลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน (F X Derivatives) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. และ/หรือสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในแต่ละขณะ

โดยหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ที่คาดว่าจะมีการลงทุนเกินกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนของกองทุน KTGF1Y11 คือ Invesco Asian Bond Fixed Maturity Fund 2021 VI (Class C USD Acc) ที่บริหารโดย Invesco บลจ.ระดับโลก ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในเน้นสร้างรายได้ผ่านช่วงเวลาการลงทุนที่กำหนด และคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดอายุกองทุน (ทั้งนี้ กองทุนไม่ได้รับประกันเงินต้น) รวมถึงมุ่งหมายที่จะบรรลุจุดประสงค์การลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ buy-and-maintain ในตราสารหนี้สกุลเงิน USD ผ่านการพิจารณาความเสี่ยงเชิงรุก ในระยะเวลาการลงทุน 1 ปีนับจากช่วง Initial Offer Period ไป จนถึงช่วงครบอายุกองทุน

ซึ่งกองทุนมีนโยบายลงทุน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมในตราสารหนี้ ในภูมิภาคเอเชียที่อยู่ในสกุลเงิน USD ที่ออกโดยผู้ออกตราสารที่ถูกพิจารณาคัดเลือกโดยดุลยพินิจของผู้จัดการ (เช่น รัฐบาล หน่วยงานรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศที่มีลักษณะเหนือรัฐ (Supranational Entities) กลุ่มบริษัท สถาบันการเงิน และกลุ่มธนาคาร) ซึ่งอาจรวมถึงผู้ออกตราสารที่อยู่ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ในกองทุนนี้ หมายถึง ประเทศทุกประเทศในทวีปเอเชีย ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น แต่รวมถึงประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ktam.co.th หรือขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 ในเวลาทำการ และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา และผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (ถ้ามี)