GULF กำเงิน 1.6 แสนล้าน ซื้อ INTUCH เตรียมปิดดีล ก.ค. 64

“GULF” แจงทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น “INTUCH” เตรียมเงินลงทุน 1.6 แสนล้านบาท ซื้อหุ้น INTUCH เผยแบงก์ไทย-เทศ หลายแห่งร่วมเสนอขอปล่อยเงินกู้เพิ่ม คาดกระบวนการแล้วเสร็จปลาย ก.ค.64 ยอมรับไม่ตั้งใจซื้อ “ADVANC-THCOM”

วันที่ 19 เมษายน 2564 นายสมิทธ์ พนมยงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารสินทรัพย์ธุรกิจในเครือและการลงทุน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้ประกาศทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดโดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไข (Conditional Voluntary Tender Offer) ในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH จำนวนไม่เกิน 2,599,631,112 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 81.07% ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 65.00 บาท จากปัจจุบันถือครองอยู่จำนวนทั้งสิ้น 606,878,314 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.93%

โดยหากการเสนอซื้อหุ้น INTUCH ครั้งนี้บริษัทได้สัดส่วนหุ้นเกินกว่า 50% ตามกฎสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การได้มาซึ่งอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญในนิติบุคคลที่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการอยู่ก่อนแล้ว (Chain Principle) จะส่งผลให้บริษัทต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นทั้งหมดของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ด้วย

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นบริษัทจะขอยกเว้นเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดใน THCOM เนื่องจากไม่ได้มองตัวเองว่าจะเข้าไปเป็นโอปอเรเตอร์ของธุรกิจโทรคมนาคม โดยจะทำหนังสือขอผ่อนผันต่อ ก.ล.ต. และคาดว่าจะทราบผลโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งเชื่อมั่นว่าน่าจะเข้าเงื่อนไขเพราะในอดีตเคยมีเคสลักษณะนี้และได้รับการอนุมัติ

ส่วน ADVANC เนื่องจากบริษัทเสนอราคาซื้อไว้ที่ 122.86 บาทต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าราคากระดานค่อนข้างมาก ดังนั้นประเมินว่าคงไม่มีผู้ถือหุ้นรายใดมาเสนอขาย จึงขอใช้สิทธิผ่อนผันต่อ ก.ล.ต.ไปด้วย

นายสมิทธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับแหล่งเงินทุนในครั้งนี้ บริษัทได้มีการจัดเตรียมวงเงินไว้กับหลากหลายธนาคาร ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเสนอวงเงินกู้เพิ่ม โดยช่วงแรกจะใช้เงินกู้ระยะสั้น (Bridge Financing) ก่อน หลังจากนั้นจะใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยเพราะขนาดรายการค่อนข้างใหญ่ แต่ไม่มีแผนเพิ่มทุน

ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้นเดิม INTUCH จะให้การตอบรับกับการเสนอซื้อครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน โดยเมื่อวันจันทร์ (19 เม.ย.64) ทาง Singtel global Investment Pte.Ltd ผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งของ INTUCH จำนวนหุ้น 673.34 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 21% แถลงการณ์ว่าการลงทุนใน INTUCH และ ADVANC เป็นกลยุทธ์การลงทุนในระยะยาว (Long Term Strategy) ทำให้คาดคะเนว่า Singtel น่าจะยังดำรงการถือหุ้นอยู่ในทั้งสองบริษัทเช่นเดิม

นายสมิทธ์ กล่าวต่อว่า โดยบริษัทจะใช้เงินลงทุนใน INTUCH รวมประมาณ 2 แสนล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทใช้เงินลงทุนโดยทยอยซื้อหุ้นไปแล้วประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ดังนั้น จะเหลือเงินลงทุนในครั้งนี้ราว 1.6 แสนล้านบาท แต่หากตัดส่วนหุ้นที่ Singtel ถือครองอยู่ออกไป บริษัทจะเหลือสัดส่วนหุ้นที่เข้าไปซื้อได้ประมาณ 50% ซึ่งน่าจะใช้เงินลงทุนเหลือแค่ 1 แสนล้านบาท โดยต้นทุนทางการเงินในครั้งนี้ไม่ถึง 3% ซึ่งเมื่อเทียบเงินปันผลถือว่าสูงกว่าต้นทุนเงินกู้

“คาดว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จได้ประมาณปลายเดือน ก.ค.64 โดยระหว่างนี้จะต้องมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) มาประเมินมูลค่าของ INTUCH และทาง INTUCH เองก็ต้องไปดำเนินการจัดประชุมผู้ถือหุ้นต่อไป”

นายสมิทธ์ กล่าวถึงแผนระยะยาวว่า จากสังคมและเศรษฐกิจไทยมีการก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งบริษัทในฐานะบริษัทโครงสร้างพื้นฐาน เติบโตมาจากธุรกิจไฟฟ้าและกำลังขยายไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยั่งยืน โดยมอง INTUCH เป็นแพลตฟอร์มที่ดี มีบริษัทที่หลากหลายอยู่ในพอร์ตฟอริโอ ไม่จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องธุรกิจดิจิทัล โทรคมนานคม/ดาวเทียม อีคอมเมิร์ซแพลฟอร์ม ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมของบริษัทไปสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ด้วย

นอกจากนี้ INTUCH ยังมีกระแสเงินสดที่ดี มีพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นที่ดี และมีเมเนจเม้นท์ที่แข็งแกร่ง รวมทั้งมีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี เป็นเหตุให้บริษัทตัดสินใจเข้าไปลงทุน ซึ่งในระยะข้างหน้าจะมีการทำงานร่วมกัน (Synergy) ที่หลากหลาย แต่ยังให้รายละเอียดมากไม่ได้

นายสมิทธ์ กล่าวถึงทิศทางสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) หลังจากนี้ว่า จะขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้นเดิม INTUCH มาขายหุ้น ถ้าได้รับการตอบรับที่ดี บริษัทก็จะต้องกู้เงินมากส่งผลให้ D/E สูงไปด้วย แต่ภาพรวมภายหลังการทำการเสนอซื้อได้สำเร็จ บริษัทจะดำเนินการควบรวมกิจการเข้ามาอยู่ในงบดุล ทำให้นับรวมส่วนทุน กระแสเงินสด และรายได้ของ INTUCH เข้ามาด้วย ซึ่งทำให้ D/E ของบริษัทลดลงมาอยู่ตามเงื่อนไขเดิม