ศบศ.เคาะจ่ายเงิน ลูกจ้างเอสเอ็มอี 3 พันบาทต่อหัว 3 เดือน พ.ย.64-ม.ค.65

สภาพัฒน์ เผย ศบศ. เห็นชอบจ่ายเงินอุดหนุนเอสเอ็มอีจ้างงาน 3,000 บาทต่อหัว นาน 3 เดือน เริ่ม พ.ย.64-ม.ค.65 หวังรักษาจ้างงาน 5 ล้านคน พร้อมเห็นชอบ 4 แผนสำคัญเปิดประเทศด้านการท่องเที่ยว

วันที่ 30 กันยายน 2564 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานว่า ผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ครั้งที่ 4/2564 ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม เห็นชอบหลักการโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เสนอโดยกระทรวงแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงาน ตลอดจนสร้างความแข็งแรงให้แก่ธุรกิจ

สำหรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นนายจ้างภาคเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคม มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยไม่เกิน 200 คน โดยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการในเดือนตุลาคม 2564 และรับเงินอุดหนุนในเดือนที่ 1 – 3 (ตั้งแต่พฤศจิกายน 2564 ถึงมกราคม 2565) (2) เงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุน รัฐบาลจะจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมและรักษาการจ้างงานให้แก่นายจ้างเพื่อรักษาการจ้างงานในอัตรา 3,000 บาทต่อลูกจ้างสัญชาติไทยต่อเดือน แต่ไม่เกิน 200 คน เป็นระยะเวลา 3 เดือน

โดยเงินอุดหนุนจะคำนวณตามยอดการจ้างงานจริงของทุกเดือน พิจารณาจากจำนวนลูกจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคมจากระบบประกันสังคม โดยจะจ่ายเงินอุดหนุนทุกวันทำการสุดท้ายของเดือน ทั้งนี้ นายจ้างจะต้องรักษาระดับการจ้างงานไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ในระหว่างเข้าร่วมโครงการฯ และหากนายจ้างไม่สามารถรักษาระดับการจ้างงานให้ไม่ต่ำร้อยละ 95 ได้จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนในเดือนนั้น

ขณะเดียวกัน กรณีนายจ้างมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากยอดการจ้างงาน ณ วันเริ่มโครงการ จะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มตามจำนวนการจ้างงานจริง โดยนายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละจังหวัดตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฯ ทั้งนี้ เป้าหมายโครงการเพื่อรักษาระดับการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยในธุรกิจ SMEs ที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 ราย ที่มีสถานประกอบการจำนวน 480,122 แห่ง และจะสามารถรักษาการจ้างงานลูกจ้างได้จำนวน 5,040,176 คน

เคาะ 4 แผนดำเนินงานสำคัญเปิดประเทศด้านการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบหลักการแนวทางการขับเคลื่อนการเปิดประเทศด้านการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาล เสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไปสู่การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน ซึ่งมีรายละเอียดแผนการดำเนินการที่สำคัญดังนี้

1. การขยายผลและพลิกโฉมการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตเพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก (World Class Destination) โดยตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2564 และไตรมาสแรกของปี 2565 จำนวน 1 ล้านคน หรือเฉลี่ยวันละไม่น้อยกว่า 5,000 คน ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น้อยกว่า 60,000 ล้านบาท

โดยมีแนวทาง การดำเนินงานจะมีการปลดล็อกอุปสรรคการท่องเที่ยวที่สำคัญ 8 ประการ (Ease of Traveling) ได้แก่ (1) การลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน การตรวจ RT-PCR ก่อนมาและเมื่อถึงสนามบิน หลังจากนั้นให้ตรวจแบบ ATK (2) หนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทยออนไลน์แบบหมู่คณะ (Group COE)

(3) การอนุญาตเที่ยวบินพาณิชย์ของรัสเซียให้สามารถเดินทางเข้าสู่ภูเก็ต (4) การผ่อนคลายคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedure: SOP) ของกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง (High Risk Contact: HRC) สำหรับผู้โดยสารเครื่องบิน (5) การลดค่าใช้จ่ายในการตรวจ RT-PCR

(6) การลดค่าเบี้ยประกันภัย รวมถึงการ On-Top ในรูปแบบ COVID Shield ให้ครอบคลุมเรื่องการสัมผัสเสี่ยงสูง (High Risk Contact: HRC) และ Hospitel รวมทั้งมีกองทุนสนับสนุนการชำระเงินล่วงหน้า (7) การออก Visa on Arrival (VOA) และหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทยออนไลน์ หรือ COE Online และ (8) เอกสารรับรองการฉีดวัคซีน (Vaccine Passport)

2. การลงทุนพัฒนาเพื่อพลิกโฉมภูเก็ตสู่สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก (World Class Destination) ภายใต้แนวคิด SUPRA ประกอบด้วย (1) การเสริมสร้างความปลอดภัย (Safety) (2) การยกระดับ (Upgrading) โดยการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและการยกระดับระบบสาธารณสุข

(3) การเยียวยาและดูแลประชาชนฐานราก (Pro-Poor) ได้แก่ การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชน การสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงชีวภาพ หมุนเวียน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Bio-Circular-Green Tourism: BCG Tourism) การสนับสนุนการท่องเที่ยววิถีชุมชน และ การส่งเสริมอาชีพและการกระจายรายได้

(4) การพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น (Refine) ประกอบด้วย การเปลี่ยนทักษะ พัฒนาทักษะ และสร้างทักษะใหม่ ๆ ให้กับแรงงาน (Re/Up/New Skill: RUN Skill) ควบคู่ไปกับการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าสินค้า ท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพ (GEMMSS)

และ (5) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและกิจกรรมระดับโลก (Activities) ประกอบด้วย กิจกรรมส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว กิจกรรม Thailand Festival Experiences และ กิจกรรมบันเทิงและการกีฬาระดับโลก

3. การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อใช้ในการพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อการเติมโตที่มีความยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในรูปแบบการให้การอุดหนุนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงโดยดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎระเบียบและมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว

4. การประกาศส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย 2565 Amazing ยิ่งกว่าเดิม (Visit Thailand Year 2022 Now Even More Amazing) ภายใต้แนวคิดกิจกรรมและเอกลักษณ์ไทย 26 ประการภายใต้แนวคิด “From A to Z Amazing Thailand Has It All”