“โอไมครอน” UOB แนะวิธีลงทุนรับความเสี่ยง พร้อมเสนอขายกองทุนหุ้นสุขภาพ

UOB BANK
FILE PHOTO : Roslan RAHMAN / AFP

บลจ.ยูโอบี  (UOB) เสนอขายกองทุนหุ้นสุขภาพทั่วโลก ผ่านกองทุน UOBSHC, UOBSHC-SSF และ UHCRMF หลังจากสถานการณ์ข่าวโควิด-19 สายพันธุ์ โอไมครอน (Omicron) และผลกระทบที่มีต่อการลงทุน

โอไมครอน ทำให้ความไม่แน่นอนอยู่ในระดับสูงเนื่องจากยังไม่มีข้อมูลมากนัก

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด  เปิดเผยว่า  ไวรัสสายพันธุ์ โอไมครอน (Omicron) ถูกพบว่ามีการกลายพันธุ์จำนวนมากบนรหัสพันธุกรรม ผู้เชี่ยวชาญบางคนจึงประเมินว่า อัตราการแพร่กระจายและการดื้อต่อวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจสูงกว่าสายพันธุ์เดลต้า (Delta)

อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ก็ยังไม่ได้รับการทดสอบและทดลองอย่างเหมาะสม แต่ถึงแม้ว่าจะจริง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดก็จะขึ้นอยู่กับระดับของอัตราการแพร่กระจายและประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวด้วย

แต่ประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนอีกประการหนึ่งก็คือระดับความรุนแรงของไวรัส การฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่มีการระบาดของไวรัสสายพันธุ์อื่นๆก่อนหน้านี้เป็นแนวป้องกันด่านแรก แต่เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนว่าวัคซีนจะมีประสิทธิภาพมากเพียงใดในการต้านทานไวรัสสายพันธุ์นี้และยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาที่ต้องใช้ในการปรับปรุงวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงยังมีความเสี่ยงที่แนวป้องกันนี้อาจจะไม่สามารถต้านทานไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวได้ดีนัก

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของรัฐบาลและธนาคารกลาง

หลายประเทศมีมาตรการตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) โดยการออกมาตรการจำกัดการเดินทางจากบางประเทศในแอฟริกา อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่า รัฐบาลของประเทศต่างๆไม่ได้ต้องการที่จะใช้มาตรการล็อกดาวน์  (lockdown) ที่เข้มงวด เว้นเสียแต่ว่าจะถูกสถานการณ์บังคับหากเกิดการระบาดอย่างรุนแรงและ/หรือความสามารถในการให้บริการของระบบสาธารณสุขเข้าไปใกล้ขีดจำกัดมากเกินไป สำหรับธนาคารกางสหรัฐ (Fed)  เราคิดว่าแรงกดดันให้เร่งลด QE อาจจะลดลงบ้างเนื่องจากความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น แต่เราก็เชื่อว่า Fed น่าจะไม่ได้ต้องการชะลอการลด QE ลง เราคิดว่า Fed อาจจะต้องการรักษาทางเลือกที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นในกรณีที่แรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงกลางปี 2565

ผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทย

ผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวลงเล็กน้อย ยกเว้นพันธบัตรอายุ 7-15 ปี ที่ปรับลดลง 5bps (1bps = 0.01%) ในวันศุกร์ ที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ปรับตัวลง 16bps ตั้งแต่ข่าว ไวรัสโอไมครอน (Omicron) ออกมา ทั้งนี้เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศมีความกังวล เรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจและต้องการลดความเสี่ยงในการลงทุน โดยมีการขายพันธบัตรไทยออกด้วย โดยมียอดขายสุทธิในพันธบัตรอายุต่ำกว่า 1 ปี สูงถึง 2,644 ล้านบาทและขายพันธบัตรอายุมากกว่า 1 ปี 948 ล้านบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างรวดเร็ว จาก 33.40 บาท มาอยู่ที่ 33.68 บาทต่อดอลลาร์

อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อจากนักลงทุนกลุ่มธนาคารเข้ามาสนับสนุนและกดผลตอบแทนลง ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทยเช้านี้ ยังคงเงียบๆ ผลตอบแทนส่วนใหญ่ยังเสนอซื้อขาย รอบๆ ราคาปิดเมื่อวันศุกร์

แนวโน้ม คาดว่านักลงทุนจะยังรอดูสถานะการณ์และผลการศึกษาผลกระทบของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ก่อนว่าจะรุนแรงหรือไม่ และประสิทธิภาพของวัดซีนปัจจุบันจะสามารถป้องกันได้แค่ไหน น่าจะส่งผลให้ตลาดตราสารหนี้ไทยและผลตอบแทนพันธบัตรเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ หรืออาจปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากหายตื่นตระหนก

กลยุทธ์การลงทุน ในตราสารหนี้ไทย เรายังคงอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ใกล้เคียงกับมาตราวัด เนื่องจากแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย ที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะมีการนักท่องเที่ยวต่างประเทศกลับเข้ามา

ผลกระทบต่อตลาดตราสารทุนไทย

รัฐบาลไทยประกาศห้ามผู้ที่เดินทางมาจาก 8 ประเทศในแอฟริกาตอนใต้ที่พบการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่เดินทางเข้ามาในไทย โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม แม้ว่าจนถึงขณะนี้จะยังไม่พบการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าว

เราจะติดตามสถานการณ์การระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสินทรัพย์แต่ละประเภทอย่างใกล้ชิด หากเราประเมินว่าจะมีผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรงก็อาจจะแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงอีกและ/หรือลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้น Cyclicals

เราคาดว่า ความผันผวนในตลาดน่าจะยังคงสูงในระยะสั้นจากความไม่แน่นอนที่รออยู่ และในช่วง 2 วันที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลงมาเกือบ 50 จุด หรือประมาณร้อยละ 3 ถือว่าน่าจะได้รับข่าวของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) บ้างแล้ว

อย่างไรก็ดี กลยุทธ์การลงทุนของกองทุนเราคือเน้น Domestic reopening with less exposure on international reopening และยังคงเน้น EV ธีม Electronics สื่อสาร ส่วนกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ และ Domestic reopening น่าจะปรับฐานระยะสั้น เนื่องจากน้ำหนักการลงทุนในตราสารทุนไทยล่าสุดอยู่ที่ ร้อยละ 93 เทียบมาตรวัดร้อยละ 90 เราคาดว่าจะลดน้ำหนักส่วนนี้มาที่ระดับ ร้อยละ 90 ในจังหวะที่เหมาะสม

ผลกระทบต่อตลาดต่างประเทศ

สำหรับสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับลดลงลงหนักในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงประมาณร้อยละ 2-4 MSCI World Index และ S&P500 ปรับลดลงร้อยละ 2.2 และ 2.3 ตามลำดับ หุ้นกลุ่ม Reopening theme อาทิ กลุ่มท่องเที่ยว การเงิน พลังงาน ปรับลดลงแรง ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับลดลงประมาณ 10bps ในเกือบทุกช่วงอายุ เช่นเดียวกับราคาน้ำมันและ Crypto Currencies ที่ปรับลงแรงเช่นกัน

ในด้านเศรษฐกิจนั้น เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงฟื้นตัวและนโยบายการเงินเริ่มคลายความผ่อนคลายลง เรามีมุมมองว่าผลตอบแทนจากการลงทุนมีแนวโน้มต่ำกว่าช่วงก่อนหน้าในขณะที่ความผันผวนมีสูงขึ้น

ดังนั้น การลงทุนต่างประเทศ จึงเน้นลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงให้สมดุลย์ระหว่างกลุ่ม growth และ cyclical รวมถึงควรกระจายความเสี่ยงไปยังหลายสินทรัพย์ แนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มสุขภาพทั่วโลก ซึ่ง บลจ.ยูโอบี มีมุมมองว่าจะสามารถสร้างโอกาสผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว ผ่านกองทุน UOBSHC, UOBSHC-SSF และ UHCRMF