คลังจัดของขวัญปีใหม่ ชง ครม. 21 ธ.ค.นี้

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ

คลังชง ครม. 21 ธ.ค.นี้ มอบของขวัญปีใหม่ประชาชน แย้มกระตุ้นใช้จ่ายในประเทศต่อเนื่อง ลุ้นฟื้นช้อปดีมีคืน ลดหย่อนภาษีปีหน้า ส่วนคนละครึ่ง เฟส 4 กำลังประเมินการใช้จ่ายประชาชน ชี้เศรษฐกิจฟื้นจากโควิดในปี’66

วันที่ 10 ธันวาคม 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ซึ่งจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ โดยมาตรการหลักจะช่วยเรื่องการบริโภคไม่ให้สะดุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ ซึ่งจะเน้นการลดหย่อนภาษีในหลาย ๆ เรื่อง และจะนำมาดำเนินการแทนโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งยอมรับว่า ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก

“ของขวัญปีใหม่เราจะช่วยการใช้จ่ายหลายโครงการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ ที่อยากออกมาจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ไม่ค่อยได้รับความนิยม ซึ่งขณะนี้ยังระบุไม่ได้ว่าจะชื่อมาตรการอะไร แต่จะเป็นการลดหย่อนภาษี ส่วนโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 นั้น จะดูอัตราการใช้จ่ายของประชาชนว่าปรับดีขึ้นมากน้อยอย่างไร ซึ่งขณะนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง”

ส่วนการแพร่ระบาดโควิดของสายพันธุ์โอไมครอน รัฐบาลยังคงเข้มงวดในมาตรการสาธารณสุข เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด และเชื่อมั่นว่า จะไม่ทำให้กิจกรรมในช่วงปลายปีสะดุด

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังต้องติดตามความรุนแรงของเชื้อไวรัสตัวนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่า ในต้นปี 2565 จะมีการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่แน่นอน ซึ่งเป็นการทบทวนผู้ได้รับสิทธิ และเพื่อเป็นการดูแลประชาชนระดับฐานราก รวมทั้งจะมีความชัดเจนในนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในต้นปี 2565 ด้วย

ส่วนทิศทางเศรษฐกิจในปี 2565 จะเป็นจุดเริ่มต้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจ และจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 4% และในปี 2566 จะมีแรงขับเคลื่อนจากภาคท่องเที่ยวเข้ามาเสริม จะทำให้มีแรงฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ซึ่งวิกฤตโควิดครั้งนี้ถือว่าเศรษฐกิจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานอย่างน้อย 3 ปี นับตั้งแต่เกิดวิกฤตในประเทศ เนื่องจากโควิดเป็นวิกฤตที่สร้างผลกระทบกับประชาชนฐานราก สังคมส่วนรวม ภาคธุรกิจ ซึ่งต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในปี 2552 ที่ใช้เวลาเพียง 2 ปี ในการฟื้นตัวอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ เศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัว ผ่าน 4 เครื่องยนต์หลัก ได้แก่ 1. การส่งออก ที่มีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง 2. เม็ดเงินจากภาครัฐที่จะเข้าสู่ระบบ 1ล้านล้านบาท มาจากเม็ดเงินจากงบประมาณลงทุนของภาครัฐ 6 แสนล้านบาท งบฯลงทุนรัฐวิสาหกิจ 3 แสนล้านบาท และอีก 1 แสนล้านบาท จะมาจาก พ.ร.ก.กู้เงินฉบับเพิ่มเติม ขณะนี้เหลืออยู่ 2 แสนล้านบาท


3. การลงทุนภาคเอกชน โดยปี 2563-2564 ที่ผ่านมา ภาคเอกชนมีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้สูงสุด เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และ 4. การบริโภค โดนรัฐจะเข้าไปสร้างความมั่นใจเพื่อให้เกิดความมั่นใจในการใช้จ่าย