“กองทุนรวมน้ำมัน” ยีลด์พุ่งแรง กับเหตุผลที่กูรูไม่แนะนำลงทุน

น้ำมัน

ด้วยสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่พุ่งสูงขึ้น จากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่เห็นจุดจบ ตลอดจนปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศอื่น ๆ ส่งผลให้ผลตอบแทน “กองทุนรวมน้ำมัน” (Commodities Energy) ทะยานขึ้นไปด้วย อย่างไรก็ดี การลงทุนกองทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) พบว่า กองทุนรวมน้ำมัน มีผลตอบแทนเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบันกว่า 40% และผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี กว่า 70% เลยทีเดียว มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมเกือบ 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี พบว่ากองทุนมีเงินไหลออกสุทธิ 2,000 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เป็นลักษณะการขายทำกำไร คล้ายกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีเงินไหลออกสุทธิ 1,600 ล้านบาท ซึ่งในช่วงดังกล่าวราคาน้ำมันอยู่ในช่วงปรับตัวขึ้นเช่นกัน

สำหรับกองทุนที่มีผลตอบแทนสูงสุดสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) นำโดยกองทุนรวม TUSOIL ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ ให้ผลตอบแทนสูงสุด 47.19% ตามด้วยกองทุนรวม TOIL6 จาก บลจ.ทิสโก้ เช่นกัน ให้ผลตอบแทนที่ 46.68% และกองทุน I-OIL จาก บลจ.เอ็มเอฟซี 46.01% (ดูตาราง)

โดย “ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ฯ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบันมีปัจจัยจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน มาจนถึงการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันรัสเซียจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ประกอบกับทางกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ยังคงนโยบายการผลิตน้ำมันเช่นเดิม ทำให้ราคาน้ำมันยังอยู่ระดับสูง ซึ่งถือว่าไม่เป็นผลดีต่อประเทศอียูและทั่วโลกในแง่ของอัตราเงินเฟ้อที่สูงตามไปด้วย

ชญานี จึงมานนท์

“กองทุนกลุ่มนี้มีการลงทุนใน ETF ที่ลงทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบที่อาจไม่ได้มีผลตอบแทนเท่ากับ spot price เสมอไป ทั้งนี้ กองทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงระดับ 8 จึงไม่เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงและความผันผวนได้น้อย และผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนกลุ่มนี้ก่อนการลงทุน” นางสาวชญานีกล่าว

ขณะที่ “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน คือ ต้องรู้ว่ากองทุนน้ำมันที่ลงทุนอยู่ เป็นการลงทุนใน ETF น้ำมันที่จดทะเบียนในสหรัฐ ซึ่ง ETF ที่จดทะเบียนอยู่ในสหรัฐ ไม่ได้เป็นการลงทุนในน้ำมันดิบ (crude oil) แต่เป็นการลงทุนในตราสารฟิวเจอร์สน้ำมันที่เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

“ดังนั้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับราคาน้ำมันที่นักลงทุนเห็น อาจไม่ได้วิ่งไปในอัตราเดียวกันหรือเท่ากัน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าหากราคาน้ำมันขึ้น 5% ผลตอบแทนจะขึ้น 5% เช่นกัน แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งหากนักลงทุนยังขาดความเข้าใจในส่วนนี้ ก็ไม่แนะนำให้ลงทุน เพราะกองทุนรวมน้ำมันมีความเสี่ยงที่สูงมาก เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางได้ เพราะราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงยังมีเรื่องของการเมืองเข้ามา ซึ่งทำให้ประเมินค่อนข้างยาก” นายสาห์รัชกล่าว

“สาห์รัช” กล่าวอีกว่า หากสถานการณ์สงครามจบลง ราคาน้ำมันก็จะลดลงทันที หรือหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อและความรุนแรงทวีคูณขึ้น ราคาน้ำมันก็อาจจะเพิ่มขึ้นสูงได้อีก ดังนั้น กองทุนรวมน้ำมันจึงมีความผันผวนสูงมาก ซึ่งหากนักลงทุนไม่สามารถรับความเสี่ยงที่สูงได้ ก็ไม่แนะนำให้ลงทุน

ด้าน “จักรพงศ์ เชวงศรี” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันราคาน้ำมันยังยืนอยู่ในระดับสูงแถวบริเวณ 100-120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยยังมีหลายปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญต่อการปรับตัวขึ้นลงของราคาน้ำมันในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเศรษฐกิจโลกเสี่ยงถดถอย การยกเลิกการคว่ำบาตรในอิหร่าน หรือเวเนซุเอลา เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะทำให้ราคาน้ำมันคลายตัวลงได้

ขณะที่ปัจจัยอีกฝั่งที่จะหนุนราคาน้ำมันให้ปรับตัวขึ้น คือ การคว่ำบาตรรัสเซียของอียู รวมไปถึงการยุติของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่หากความตึงเครียดลดลง ก็จะส่งผลทำให้เศรษฐกิจในจีนและสหรัฐฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันมีเพิ่มมากขึ้นได้

โดยปัจจัยทั้งหมดนี้จะยังคอยสร้างความกังวลต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีสักเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เบื้องต้นคาดว่าเรื่องที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นได้มากที่สุดเป็นอันดับแรก อาจจะเป็นการคว่ำบาตรรัสเซียของอียู เนื่องจากทั้งสองฝั่งมีการพูดคุยกันมาในระดับหนึ่งแล้ว และน่าจะทำให้ราคาน้ำมันมีทิศทางเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลง

“ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปจนถึงจุดพีกแล้ว คงไม่กลับขึ้นไปสูงถึง 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีก เพียงแต่จะยืนอยู่ในระดับ 100-120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปนานแค่ไหน แต่สุดท้ายเชื่อว่าจะต้องปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน เพียงแต่อาจจะไซด์เวย์ไปสักระยะ จนกว่าปัจจัยที่กล่าวไปจะมีความชัดเจนหรือเป็นรูปธรรมมากขึ้น” นายจักรพงศ์กล่าว

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนกองทุนรวมประเภทนี้คงต้องศึกษาอย่างถี่ถ้วน จะลงทุนโดยมุ่งหวังผลตอบแทนสูงเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่ต้องมีความเข้าใจในหลาย ๆ มิติด้วย