เงินเฟ้อสูง เร่งขึ้นดอกเบี้ย และวิกฤตอาหารโลก เป็นปัจจัยกดดัน

หุ้นกู้
คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด

สวัสดีครับท่านนักลงทุน SET เริ่มชะลอตัวหลังก่อนหน้านี้ปรับขึ้นไปทำจุดสูงระยะสั้นบริเวณ 1,665 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากจีนคลายล็อกดาวน์เมืองเซี่ยงไฮ้และกรุงปักกิ่ง รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อีกทั้งในตลาดหุ้นไทยหลังสิ้นสุดประกาศงบฯ 1Q65 ของบริษัทจดทะเบียน พบว่าส่วนใหญ่กำไรออกมาดีกว่าหรือใกล้เคียงกับตลาดคาด โดยผลประกอบการ 1Q65 กำไรตลาดเพิ่มขึ้น 11% ต่อปี (YOY) และ 4% จากไตรมาสก่อน (QOQ) โดยบริษัทจดทะเบียนใน SET ทำกำไรสุทธิรวมกันกว่า 2.81 แสนล้านบาท

รวมถึงทิศทาง fund flow ที่ไหลเข้า โดยตั้งแต่ 17-31 พ.ค.นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยไปกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex. Japan ในทุกช่วงเวลาทั้ง 1, 3, 6 และ 12 เดือนหลังสุด

อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว และในภาพรวมตลาดยังถูกปัจจัยกดดันหลักจากเงินเฟ้อในระดับสูง โดยเป็นผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ทำให้ราคาน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซยังคงยืนในระดับสูง ตลอดจนวิกฤตอาหารโลกจากผลกระทบของสงคราม ทำให้หลายประเทศต้องระงับการส่งออก อาทิ อินเดีย ระงับการส่งออกข้าวสาลีและน้ำตาล, อินโดนีเซีย ระงับการส่งออกน้ำมันปาล์ม, มาเลเซีย ระงับการส่งออกไก่, ยูเครน ระงับการส่งออกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง น้ำตาล และรัสเซีย ระงับการส่งออกข้าวสาลี ข้าวโพด เป็นต้น ยิ่งเป็นปัจจัยซ้ำเติมผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ เงินเฟ้อในระดับสูงทำให้หลายธนาคารกลางต้องประกาศขึ้นดอกเบี้ย หรือส่งสัญญาณของการจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ย โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. แม้มีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี อย่างไรก็ตาม เริ่มมีกรรมการเสียงข้างน้อยถึง 3 เสียง เห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ทำให้มุมมองข้างหน้าแสดงถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในบ้านเรามีโอกาสเกิดขึ้นแล้ว

จากปัจจัยดังกล่าวทำให้มีมุมมองแนวโน้ม SET ในเดือน มิ.ย.ยังมีความเสี่ยงด้าน downside โดยมีกรอบล่างอยู่ที่แนวรับ 1,620 และ 1,600 จุดตามลำดับ ส่วนกรอบบนมองจำกัดมีแนวต้าน 1,665 และ 1,685 จุดตามลำดับ สำหรับกลยุทธ์การลงทุนผมจึงขอแนะนำนักลงทุนทุกท่านไม่ควรไล่ราคา แต่ให้รอการอ่อนตัวและใช้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม โดยแนะนำกลุ่มหุ้นปลอดภัยที่มีคุณภาพดี และ/หรือมีปัจจัยบวกเฉพาะ ได้แก่

1) CPALL คาด 2Q65 กำไรเพิ่มขึ้น QOQ และ YOY จากยอดขายธุรกิจ CVS ดีขึ้น รวมทั้งมีภาระดอกเบี้ยจ่ายจากดีล Lotus’s ที่ลดลงจากการรีไฟแนนซ์ ขณะที่กำไรปกติปี 2565 จะโตเด่นที่ 79% YOY

2) OSP คาดกำไรเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 2Q65 และได้ประโยชน์เต็มไตรมาสจากการปรับขึ้นราคาขาย M-150 เป็น 12 บาทต่อขวด และตลาดส่งออกดีขึ้น อีกทั้งรับรู้ยอดขายจากสินค้าเครื่องใหม่ที่มีส่วนผสม CBD

3) BLA หุ้นได้อานิสงส์บวกจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนปี 2565-2567 มองผลประกอบการจะฟื้นตัวต่อเนื่องจาก margin ที่ดีขึ้น

4) GFPT ราคาหุ้นและผลประกอบการยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น หลังทั่วโลกมีปัญหาอุปทานเนื้อสัตว์ตึงตัว (อาทิ คูเวตและมาเลเซียห้ามส่งออกเนื้อไก่) แต่มีอุปสงค์เพิ่มขึ้นหลังคลายล็อกดาวน์

5) CPF คาด 2Q65 กำไรจะดีขึ้น QOQ จากราคาสัตว์บกที่ดีขึ้น ขณะที่ทั้งปี 2565 คาดกำไรปกติฟื้นตัวเด่น YOY จากส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทร่วม รวมทั้งธุรกิจสัตว์บกในไทยและธุรกิจสุกรในเวียดนามที่ดีขึ้น

ส่วนกลุ่มหุ้นที่ควรเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน ได้แก่ 1) หุ้นที่คาดผลประกอบการจะถูกกดดันจากมีสินค้าเกษตรเป็นต้นทุนวัตถุดิบหลัก อาทิ SNNP, TFMAMA, NSL, SNP 2) หุ้นที่คาดผลประกอบการจะถูกกดดันจากมีต้นทุนการผลิตเกี่ยวกับเชื้อเพลิงพลังงาน อาทิ โรงไฟฟ้า SPP, ขนส่งพัสดุ, วัสดุก่อสร้าง, บรรจุภัณฑ์ และ 3) หุ้นขุดเหมือง ซึ่งคาดยังได้ sentiment ลบจากการปรับตัวลงของ bitcoin และต้นทุนไฟฟ้าที่สูงขึ้น ทำให้มีโอกาสสูงที่จะไม่คุ้มค่าในการลงทุนหรือระยะเวลาคืนทุนนานกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้

แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรักและหวังดี