มิลเลนเนียม กรุ๊ป ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 336 ล้านหุ้น ลุยคืนหนี้-ลงทุน Alpha X

มิลเลนเนียม กรุ๊ป ยักษ์ค้าปลีกรถยนต์ ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอ 336 ล้านหุ้น ระดมทุนคืนหนี้-ลงทุน Alpha X

วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานข้อมูลไฟลิ่งบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จากข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบว่า บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC กลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจครบวงจรในอุตสาหกรรมยานยนต์

ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจจำหน่ายยานยนต์ ภายใต้ยี่ห้อชั้นนำที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น BMW, Mini, Honda และ Rolls-Royce สำหรับรถยนต์ BMW Motorrad และ Harley-Davidson สำหรับรถจักรยานยนต์ Azimut สำหรับเรือยอชต์ และ Chris Craft สำหรับเรือแม่น้ำ

2.กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขายและให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ 3.กลุ่มธุรกิจให้บริการเช่ารถยนต์และคนขับ และ 4.กลุ่มธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) บริการบริหารจัดการ (Shared Service) บริการทางการเงินสำหรับยานยนต์ นายหน้าประกันภัย และบริการทำความสะอาดและเคลือบสีรถยนต์

ขายหุ้นไอพีโอ 336 ล้านหุ้น

โดย MGC มีแผนเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวนรวมไม่เกิน 336 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วย

1.หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัท จำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25% และ

2.หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย MGC Investment Holdings Limited จำนวนไม่เกิน 56 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 5% อย่างไรก็ดี จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขาย สุดท้ายจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบริษัท และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET หมวดธุรกิจยานยนต์

ส่วนแผนวัตถุประสงค์ในการใช้นำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้คือ 1.ชำระคืนหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย 2.ลงทุนในบริษัท อัลฟ่า เอกซ์ จำกัด (Alpha X) และ 3.เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัท และ/หรือบริษัทย่อย

จ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40%

โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามกฎหมายและตามที่บริษัทกำหนดไว้ โดยการจ่ายเงินปันผลและอัตราการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไปจากที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน

ทั้งนี้ MGC ก่อตั้งกลุ่มบริษัทในปี 2542 โดยครอบครัวธรรมชวนวิริยะ เริ่มต้นการดำเนินธุรกิจด้วยธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ BMW และ Mini และได้มีการขยายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้สร้างรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งตลอดช่วงระยะเวลาการประกอบธุรกิจกว่า 20 ปี ผ่านการขยายฐานผลิตภัณฑ์และฐานลูกค้าให้มีความหลากหลาย รวมไปถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกับผู้ผลิตยานยนต์และผู้ให้บริการด้านยานยนต์ชั้นนำระดับโลก

ปัจจุบัน MGC ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์อันดับ 1 ของประเทศไทยสำหรับรถยนต์ยี่ห้อ BMW และ Mini โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 38.1% และประมาณ 60.3% ของจำนวนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนใหม่ป้ายแดงยี่ห้อ BMW และ Mini ที่จดทะเบียนในประเทศไทยในปี 2564 ตามลำดับ

และถือเป็นผู้ให้บริการหลังการขายและบริการซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระที่มีขนาดใหญ่ มีเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ให้บริการที่สำคัญทั่วประเทศ และมีคุณภาพในการให้บริการที่ได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถสร้างธุรกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่มบริษัทได้อย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ยังเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลกในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ Sixt SE (ธุรกิจเช่ารถยนต์ระยะสั้น) Bosch (ธุรกิจซ่อมบำรุงรถยนต์) และ Howden (ธุรกิจนายหน้าประกันภัย) ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความน่าเชื่อถือ และศักยภาพในการขยายธุรกิจร่วมกับผู้เล่นรายสำคัญระดับโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มเติมในอนาคต

ปี’63-64 รายได้ 2 หมื่นล้าน

ปัจจุบัน MGC มีผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวมในปี’63-64 เติบโตจาก 20,275.3 ล้านบาท เป็น 21,350.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตรา 5.3% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากการขายและบริการ ของกลุ่มธุรกิจจำหน่ายยานยนต์เป็นหลัก จาก 15,804.6 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 17,081.0 ล้านบาท ในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้น 8.1%

ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของจำนวนยานยนต์ที่จำหน่ายได้จาก 8,552 ยานยนต์ ในปี 2563 เป็น 8,982 ยานยนต์ ในปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นในอัตรา 5%

ทั้งนี้ ปริมาณการขายยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นของ MGC และการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศในภาพรวมยังช่วยให้กลุ่มบริษัทได้รับประโยชน์ทางธุรกิจจากการให้บริการหลังการขายและบริการซ่อมบำรุงยานยนต์ซึ่งมีอัตรากำไรค่อนข้างสูง

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562, 2563, 2564 และวันที่ 31 มีนาคม 2565 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 12,095.7 ล้านบาท 11,233.8 ล้านบาท 10,326.3 ล้านบาท และ 10,325.8 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลง 861.9 ล้านบาท หรือ 7.1% ณ สิ้นปี 2563 ลดลง 907.5 ล้านบาท หรือ 8.1% ณ สิ้นปี 2564 และลดลง 0.5 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565

ส่วนกำไรสุทธิงวดปี’63-64 บริษัทมีกำไรสุทธิ 188.8 ล้านบาท และ 295.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิปี’64 เพิ่มขึ้น 56.5% จากปี 2563 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้น การลดลงของต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหาร

โดยมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นคำนวณจากกำไร (ขาดทุน) สุทธิ หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นรวมเฉลี่ย โดยสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562, 2563, 2564 และสำหรับงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 บริษัทมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 6.6%, 45.2%, 41.6% และ 26.8% ตามลำดับ

มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (DE) 36.4 เท่า 21.0 เท่า 10.4 เท่า และ 10.2 เท่า ตามลำดับ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 24.7 เท่า 13.5 เท่า 7.6 เท่า และ 8.0 เท่า ตามลำดับ และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยไม่รวมเจ้าหนี้สินเชื่อสำหรับสินค้าเพื่อการจัดแสดงต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 21.2 เท่า 11.8 เท่า 6.7 เท่า และ 6.6 เท่า ตามลำดับ

เมื่อเดือน ก.ย. 64 มิลเลนเนียม กรุ๊ป ได้ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ ขยายธุรกิจสู่ไฟแนนเชียล ร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท อัลฟ่า เอกซ์ จำกัด (Alpha X) มีสัดส่วนการถือหุ้นจากธนาคารไทยพาณิชย์ 50% และเอ็มจีซี-เอเชีย 50% ของหุ้นทั้งหมด โดยมีทุนจดทะเบียนจัดตั้งขั้นต้นจำนวน 1 ล้านบาท และมีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท ภายใน 1 ปี นับจากวันที่จัดตั้งบริษัท