หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ : รู้ความเสี่ยงก่อนลงทุน สภาพคล่องตลาดรองน้อย

หุ้นกู้หนึ่งในทางเลือกการลงทุนที่นักลงทุนหลายคนสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก แต่ต้องอย่าลืมว่า การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง

โดยเฉพาะการลงทุนใน “หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์” ที่แม้ว่าจะให้ “ผลตอบแทนสูง” แต่ก็มาพร้อมกับ “ความเสี่ยงสูง” เช่นกัน

แล้วนักลงทุนกลุ่มใดที่เหมาะกับการลงทุนประเภทนี้ วันนี้ Prachachat Wealth มีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับ คุณอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ที่จะมาร่วมให้ข้อมูลก่อนการตัดสินใจแก่นักลงทุน

Q: เห็นช่วงนี้มีหลายบริษัทในกลุ่มค้าปลีกหรือโรงแรม “สยามพิวรรธน์-ดุสิตธานี-ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล” มาระดมทุนเสนอขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ก่อนจะถามว่าน่าสนใจลงทุนไหม อยากให้สร้างความเข้าใจกับนักลงทุนว่าความเสี่ยงหรือข้อควรระวัง ในการจะลงทุนที่นักลงทุนต้องทราบมีอะไรบ้างครับ

ชื่อหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ จริง ๆ เป็นเหมือนชื่อเล่นเขา แต่ชื่อเป็นทางการเขาจริง ๆ แล้วคือ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ ภาษาอังกฤษเรียกว่า perpetual bond

หุ้นกู้ประเภทนี้เราก็จะเห็นว่าดอกเบี้ยค่อนข้างที่จะสูงกว่าปกติเยอะเลย และเรตติ้งด้วย ก็จะเห็นว่าผู้ออกรายเดียวกัน ถ้าออกหุ้นกู้ปกติ สมมุติเรตติ้ง A แต่ถ้าออกเป็นหุ้นกู้ประเภทนี้ เรตติ้งจะต่ำลงไปอย่างน้อย 2 ระดับ “เช่น ถ้าเป็น A เดียว แต่พอเป็นหุ้นกู้ perpetual bond เรตติ้งอาจจะเหลือ BBB+ แทน”

ทีนี้ลักษณะต่างจากหุ้นกู้ปกติอย่างไร เพราะผลตอบแทนที่สูง เพราะว่ามีเงื่อนไขเฉพาะที่ทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้น เงื่อนไขหลัก ๆ ขอแยกออกเป็นประมาณ 4 ข้อด้วยกัน

ไม่มีอายุ ไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ

ข้อแรกก็คือ เป็นหุ้นกู้ประเภทไม่มีอายุ จะไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ เนื่องจากหุ้นกู้ปกติจะกำหนดเอาไว้เลยว่า 3 ปี 5 ปี ถ้าครบกำหนดก็จะได้เงินต้นคืน แต่ถ้าเป็นอันนี้ตราบใดที่บริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ ผู้ลงทุนก็มีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยที่สูงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งตรงนี้จะมีความคล้ายทุน ที่เขาบอกเป็นตราสารลักษณะคล้ายทุน

คือคล้าย ๆ กับหุ้นสามัญ ที่เราก็จะมีสิทธิได้เงินปันผลไปเรื่อย ๆ ถ้าบริษัทยังประกอบกิจการอยู่ หุ้นกู้ประเภทนี้ก็จะให้ดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ ถ้าบริษัทยังคงประกอบกิจการอยู่

เลื่อนจ่ายดอกเบี้ยได้

ถัดมาก็คือว่า ผู้ออกหุ้นกู้ประเภทนี้ มีสิทธิที่จะเลื่อนจ่ายดอกเบี้ยก็ได้โดยไม่มีเงื่อนไข ก็คล้ายทุนอีกตรงที่ว่าเหมือนเงินปันผล ให้เราลองนึกภาพเงินปันผลผู้ออกจะจ่ายหรือไม่จ่ายก็ได้ อยู่ที่ดุลพินิจของผู้ออกเลย อันนี้ก็เหมือนกัน ถึงแม้จะกำหนดเอาไว้ว่า ดอกเบี้ยสูง ๆ แต่ว่าตามกฎหมายแล้วผู้ออกสามารถเลื่อนจ่ายได้ แต่เลื่อนไปแล้วต้องสะสมดอกเบี้ยจ่ายด้วย

และที่สำคัญคือ ถ้าเลื่อนจ่ายดอกเบี้ยของหุ้นกู้ประเภทนี้ ก็ห้ามจ่ายเงินปันผลด้วย เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปตั้งแต่มีการออกมา เราก็ยังไม่เคยเห็นผู้ออกที่เลื่อนจ่ายดอกเบี้ย เพราะว่าสิ่งสำคัญเลยก็คือ ถ้าเขาเลื่อนจ่ายดอกเบี้ย แปลว่าผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของบริษัท ก็จะอดได้เงินปันผลไปด้วย และคงจะไม่เป็นผลดีสำหรับหุ้นสามัญของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ว่า อาจจะทำให้ผู้ลงทุนเข้าใจผิดว่าบริษัทมีปัญหาสภาพคล่องหรืออะไรทำไมถึงไม่จ่าย

เจ้าหนี้ด้อยสิทธิได้คืนเงินต้นน้อยกว่า

อันที่สามก็คือ เป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ถ้าบริษัทเกิดมีปัญหาล้มละลายขึ้นมา จะต้องขายทอดตลาดทรัพย์สินเอาเงินมาเฉลี่ยคืนเจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะได้รับสิทธิในลำดับหลังจากเจ้าหนี้สามัญทั่วไป แปลว่าถ้ามีทรัพย์สินเหลือก็ต้องเอาไปคืนเจ้าหนี้บุริมสิทธิก่อน และเป็นเจ้าหนี้สามัญ แล้วถึงจะถึงเจ้าหนี้ด้อยสิทธิ เพราะฉะนั้นทำให้มีโอกาสได้รับคืนเงินต้น ก็อาจจะน้อยกว่าในกรณีที่ผู้ออกล้มละลาย

ไถ่ถอนก่อนกำหนดได้หลังปีที่ 5

และข้อสุดท้ายคือว่า ผู้ออกหุ้นกู้ประเภทนี้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดอย่างที่เราเรียกว่ามี Call Option คือถึงแม้จะไม่มีอายุก็ตาม แต่ว่าจะมีการใส่ Call Option เอาไว้ให้ผู้ออกมีสิทธิที่จะไถ่ถอนก่อนกำหนด โดยทั่วไปจะกำหนดเอาไว้หลังปีที่ 5 เป็นต้นไป

นางสาวอริยากล่าวต่อว่า และโดยทั่วไปผู้ออกก็มักจะใช้สิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด เพราะว่าเนื่องจากบริษัทจัดอันดับเครดิตจะนับหุ้นกู้ประเภทนี้เป็นทุนจนถึงปีที่ 5 หลังจากปีที่ 5 เขาจะนับเป็นหนี้ เพราะฉะนั้นอาจจะทำให้การคำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) ก็จะสูงขึ้นทันทีเลย

เพราะฉะนั้นประโยชน์ของผู้ออกก็จะน้อยลง แถมดอกเบี้ยหลังปีที่ 5 ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ว่าจะขยับขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นแรงจูงใจผู้ออกก็จะมีมากกว่าในเรื่องการไถ่ถอนก่อนกำหนดในปีที่ 5

“เพราะฉะนั้นผู้ลงทุนที่ลงทุนไปโดยคิดว่าจะเป็นเหมือนหุ้นกู้ 5 ปี เขาจะใช้สิทธิไถ่ถอนแน่ ๆ อันนี้ต้องทำความเข้าใจใหม่ คือผู้ออกไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิไถ่ถอนเสมอไป หรือคนที่ลงทุนไปโดยคิดว่าเราจะได้ดอกเบี้ยสูง ๆ ไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต อันนี้ก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าเขาก็มีสิทธิที่จะไถ่ถอน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความจริงทั้งสองด้าน”

และก็ความเสี่ยงอันหนึ่งที่จะต้องเข้าใจ คือหุ้นกู้ประเภทนี้อย่างที่บอกมา 4 ข้อที่ว่านี้ ทำให้หุ้นกู้ประเภทนี้อาจจะมีสภาพคล่องในตลาดรองค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้นพอเป็นหุ้นกู้ไม่มีอายุแบบนี้ ถ้าเกิดต้องการที่จะใช้เงิน เราก็จะต้องไปขายในตลาดรอง พอสภาพคล่องน้อย บางทีอาจจะทำให้เราขายไม่ได้ในราคาอย่างที่ต้องการ หรืออาจจะขาดทุนก็ได้

Q: ถามต่อเลยครับ แล้วจริง ๆ หุ้นกู้ประเภทนี้เหมาะกับนักลงทุนประเภทใดครับ

คือจริง ๆ แล้วหุ้นกู้ประเภทนี้ อันดับแรกเลยคนที่จะซื้อต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขหรือลักษณะเฉพาะอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว สำหรับคนที่มีเป้าหมายของการลงทุน เช่น แค่ต้องการลงทุนแค่ระยะสั้น และต้องการเก็บออมไว้ เช่น ปีหน้าต้องการใช้เงิน หรือสองปีข้างหน้าก็อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นกู้ประเภทนี้ อันนี้น่าจะสำหรับคนที่เรียกว่ามีเงินออมเย็น ๆ ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมีกำหนดแน่นอนในการใช้เงินในช่วงระยะเวลาอันใกล้

Q: ย้อนกลับมา 3 บริษัทที่เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ซึ่งมีบางรายที่เสนอขายนักลงทุนรายย่อยด้วย ความน่าสนใจตรงนี้น่าลงทุนแค่ไหนครับ

โดยปกติการที่เราจะดูว่าผลตอบแทนคุ้มค่าความเสี่ยงหรือเปล่า เราต้องมาดูกับเรื่องของความน่าเชื่อถือของเขาก่อนว่า เปรียบเทียบกับหุ้นกู้ประเภทเดียวกัน ที่ระดับอันดับเครดิตเท่านี้เขาจ่ายดอกเบี้ยเท่าไร เราถึงจะบอกได้ว่าตัวที่เราจะลงทุน ผลตอบแทนเหมาะสมเป็นไปตามตลาดแล้วหรือเปล่า ได้สะท้อนความเสี่ยงที่เหมาะสมและเพียงพอแล้วหรือเปล่า

Q: ฝากแนะนำนักลงทุนในช่วงภาวะตลาดเงินตลาดทุนกำลังผันผวนหน่อยครับ

ในช่วงนี้ที่ภาวะผันผวนและเราก็ยังไม่แน่ใจว่ากำลังจะเกิดเศรษฐกิจชะลอตัว หรือ recession ตามมาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการลงทุนในหุ้นกู้ ซึ่งจริง ๆ แล้วในจังหวะปีนี้ ต้องถือเป็นปีของผู้ลงทุนเหมือนกัน เพราะเรามีตัวเลือกให้เลือกลงทุนค่อนข้างมาก

แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เวลาที่จะลงทุนยิ่งต้องพิจารณาให้ดีเลย คือเลือกบริษัทที่มีความมั่นคง ชัดเจน มีกระแสเงินสดดี ก็จะทำให้เรานอนหลับได้สบายใจ

และก็อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือ ที่ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ การลงทุนอาจจะเป็นการทยอยเข้าลงทุน เพราะถ้าเราลงทุนทีเดียวทั้งหมดเลย อาจจะเสียโอกาสจากดอกเบี้ยที่กำลังขยับขึ้นเรื่อย ๆ


เพราะปีนี้เราเห็นแล้วว่าแค่ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลก็ขยับขึ้นไป 1% กว่าแล้ว ดอกเบี้ยหุ้นกู้ก็ขยับขึ้นด้วย ซื้อหุ้นกู้ปีนี้แน่นอนดอกเบี้ยก็สูงกว่าคนที่ซื้อปีที่แล้ว แต่ก็แปลว่าดอกเบี้ยมีโอกาสขยับสูงขึ้นอีกในครึ่งปีหลังหรือปีหน้า เพราะฉะนั้นการทยอยเข้าลงทุนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ