ข้อเสนอ TDRI ต่อ “4 นโยบายด้านสังคม” ของพรรคการเมือง ในการเลือกตั้ง 2566

ข้อเสนอ TDRI นโยบายด้านสังคมของพรรคการเมือง
ข้อเสนอ TDRI นโยบายด้านสังคมของพรรคการเมือง
 FUTURE THAILAND
โดย : บุญวรา สุมะโน (นโยบายสวัสดิการสังคม) วิโรจน์ ณ ระนอง (นโยบายด้านสุขภาพ) 
ณัฐวุฒิ เพิ่มจิตร (นโยบายการศึกษาระดับพื้นฐาน) 
ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ และขจรพงศ์ ประศาสตรานุวัตร (นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน) 
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
ชื่อบทความเดิม : ข้อเสนอสำหรับพรรคการเมืองต่อ "4 นโยบายด้านสังคม" ในการเลือกตั้งทั่วไป 2566 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ออกรายงานเรื่อง ข้อสังเกตและข้อห่วงใยต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566″ และ ข้อเสนอสำหรับพรรคการเมืองต่อ 4 นโยบายเศรษฐกิจในการเลือกตั้งทั่วไป 2566 บทความนี้จะเสนอข้อเสนอสำหรับพรรคการเมืองต่อ 4 นโยบายด้านสังคม ซึ่งประกอบด้วยนโยบายสวัสดิการสังคม นโยบายด้านสุขภาพ นโยบายการศึกษาระดับพื้นฐาน และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน

1.นโยบายสวัสดิการสังคม

ในภาพรวมพรรคการเมืองแข่งขันกันตอบสนองความต้องการสวัสดิการสังคมของคนไทยในช่วงวัยต่าง ๆ และกลุ่มเปราะบางทั้งหลายอย่างคึกคัก โดยหลายพรรคการเมืองเสนอสวัสดิการในรูปของการให้เงินแก่ประชาชน เช่น บางพรรคมีนโยบาย “ท้องปุ๊บ รับปั๊บ” เพื่อช่วยเหลือแม่ตั้งครรภ์โดยจะให้เงินเดือนละ 3,000 บาทตลอด 9 เดือน ในขณะที่ 2 พรรคการเมืองเสนอให้สวัสดิการถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาทแก่ผู้สูงอายุ  และมีหลายพรรคการเมืองที่เสนอเงินช่วยเหลือในการดูแลเด็กเล็ก 

สวัสดิการเหล่านี้มีต้นทุนทางการคลังในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่ได้ระบุแหล่งที่มาของเงินที่จะใช้ โดยบางพรรคยังเสนอนโยบายลดภาษีควบคู่ไปด้วย ซึ่งยิ่งทำให้ความเป็นไปได้ในการจัดสวัสดิการตามที่ประกาศลดลงไปอีกจนอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง เหมือนนโยบาย “มารดาประชารัฐ”

ทั้งนี้ นโยบายสวัสดิการที่มีต้นทุนทางการคลังสูงที่สุดคือ การให้เงินสวัสดิการถ้วนหน้าแก่ผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งมากกว่าอัตราปัจจุบันที่ 600-1,000 บาทหลายเท่าตัว โดยต้องใช้เงินถึงปีละกว่า 5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามมีพรรคการเมืองเดียวใน 2 พรรคการเมืองที่เสนอนโยบายดังกล่าวโดยระบุแหล่งที่มาของเงินที่จะใช้โดยรวม 

นอกจากนี้ นโยบายสวัสดิการบางอย่างที่พรรคการเมืองเสนอยังอาจไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย เช่น นโยบายการเพิ่มสิทธิลาคลอด ซึ่งมี 3 พรรคการเมืองเสนอตรงกันว่าจะเพิ่มสิทธิในการลาเป็น 180 วัน 

อย่างไรก็ตาม การวิจัยของทีดีอาร์ไอพบว่า ในปัจจุบันมีแรงงานหญิงร้อยละ 40 ที่ลาออกจากงานทั้งโดยสมัครใจและไม่สมัครใจเมื่อตั้งครรภ์ ทำให้จะไม่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มวันลาคลอดที่เสนอกันขึ้น  

นอกจากนี้ การเสนอเพิ่มจำนวนวันลาคลอดของพรรคการเมืองก็ไม่ได้มาพร้อมการเสนอเพิ่มเงินชดเชยระหว่างลาคลอด ในปัจจุบันแรงงานหญิงจำนวนมากไม่ได้ลาคลอดเต็มระยะเวลา 98 วันอยู่แล้ว เพราะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายเพียง 45 วัน จึงต้องกลับไปทำงานก่อนกำหนดเพื่อหารายได้   

นโยบายสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมจึงควรมุ่งให้ความคุ้มครองในทุกมิติ โดยนอกจากสิทธิประโยชน์ในรูปตัวเงินในระดับที่เหมาะสมกับฐานะการคลังของประเทศแล้ว พรรคการเมืองควรต้องพิจารณาปรับปรุงบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น เพิ่มจำนวนและยกระดับคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ และปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างหลักประกันว่าประชาชนจะสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้จริง โดยในทางปฏิบัติ พรรคการเมืองควรมุ่งทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการให้สวัสดิการแก่ประชาชนในพื้นที่ 

TDRI นโยบายด้านสังคม 2

2.นโยบายด้านสุขภาพ

พรรคการเมืองต่าง ๆ เสนอนโยบายด้านสุขภาพจำนวนมาก เช่น ขยายบริการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ให้เงินปรับปรุงบ้านผู้สูงวัยและผู้พิการ ให้บริการเครื่องฉายรังสีทุกจังหวัดและศูนย์ฟอกไตทุกอำเภอ พัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมทั้งให้บริการดูแลสุขภาพจิตทั้งที่สถานพยาบาลใกล้บ้านและผ่านระบบการแพทย์ทางไกล เพิ่มบำนาญผู้สูงอายุและให้เงินชดเชยการเจ็บป่วยและค่าเดินทางไปพบแพทย์ เพิ่มเงินให้ อสม. และผลักดัน “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” (Medical Tourism)

การขยายบริการและเพิ่มสิทธิต่าง ๆ หลายอย่างเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ก็มีต้นทุนทางการคลังในระดับที่สูง ซึ่งนอกจากการระบุแหล่งเงินที่จะนำมาใช้แล้ว สิ่งหนึ่งที่พรรคการเมืองควรทำคือสนับสนุนกฎหมายขยายเพดานเงินเดือนที่ใช้คำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้นจาก 15,000 บาทต่อเดือนที่ใช้มาแล้ว 30 ปี ซึ่งจะช่วยให้รัฐมีทรัพยากรเพิ่มขึ้นและสามารถนำมาเพิ่มบำนาญและขยายบริการรักษาพยาบาลให้ผู้ประกันตน โดยเงินสมทบที่เก็บเพิ่มจะไม่กระทบผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้รัฐบาลควรมีนโยบายกระจายอำนาจการบริหารสถานพยาบาลของรัฐ โดยคำนึงถึงระบบส่งต่อผู้ป่วยที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยทำให้สถานพยาบาลตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ดีขึ้น

พรรคการเมืองควรทบทวนนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งจริง ๆ คือเน้นการรับคนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ช่วยการท่องเที่ยวมากแล้ว ยังดึงราคาค่ารักษาของโรงพยาบาลเอกชนให้สูงขึ้น และเกิดการแย่งทรัพยากรซึ่งเพิ่มภาระทางการเงินของโครงการหลักประกันสุขภาพและกองทุนประกันสังคมด้วย 

ในทางตรงกันข้าม พรรคการเมืองควรพิจารณานโยบายเปิดให้แพทย์และพยาบาลต่างประเทศเข้ามารักษาคนไข้ต่างชาติในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแพทย์และพยาบาลที่จะรุนแรงขึ้นจากการรับคนไข้ต่างชาติเข้ามาเป็นจำนวนมาก 

รัฐบาลหลังการเลือกตั้งควรทบทวนนโยบายกัญชา ซึ่งเป็นมรดกจากรัฐบาลปัจจุบัน โดยสร้างกลไกควบคุมการใช้กัญชาที่รัดกุมและโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อเยาวชน สตรีตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุและผู้ขับขี่ยานพาหนะ ที่อาจได้รับกัญชาที่ถูกใส่ไว้ในอาหารโดยผู้บริโภคไม่รู้ตัว

ที่สำคัญพรรคการเมืองควรมีนโยบายยกระดับศักยภาพของระบบสุขภาพในระยะยาว เพื่อให้สามารถรับมือกับโรคอุบัติใหม่ โรคอุบัติซ้ำตลอดจนอุบัติภัยทางสุขภาพต่าง ๆ โดยพัฒนา “องค์กรเจ้าภาพ” ที่ติดตามปัญหาเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง และสามารถสั่งสมความรู้ทั้งด้านวิชาการและนโยบาย ทำให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น องค์กรดังกล่าวจะสามารถยกระดับขึ้นมาเป็นเสนาธิการให้แก่ฝ่ายนโยบายได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องตั้งโครงสร้างใหม่ เช่น ศบค. ซึ่งแม้มีอำนาจมาก แต่ก็ขาดความพร้อมในการรับมือปัญหาในเชิงรุก (proactive)

TDRI นโยบายด้านสังคม 3

3.นโยบายการศึกษาระดับพื้นฐาน

ระบบการศึกษาไทยมีปัญหาด้านคุณภาพโดยรวมในระดับต่ำและมีความเหลื่อมล้ำสูง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้หลักสูตรการศึกษาพื้นฐานที่ล้าสมัยมานานตั้งแต่ปี 2551 การขาดการพัฒนาครูอย่างมีประสิทธิผล การขาดแคลนครูในโรงเรียนขนาดเล็ก การที่ครูต้องใช้เวลากับโครงการต่าง ๆ มากมายที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักเรียน และวัฒนธรรมในการจัดการศึกษาที่เน้นสั่งการจากส่วนกลาง 

มีอย่างน้อย 8 พรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายด้านการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่ครอบคลุมนโยบายที่สำคัญ และหากสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ก็จะสามารถแก้ปัญหาข้างต้นได้บางส่วน เช่น การปรับหลักสูตร การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยเพิ่มการเรียนรู้ การเพิ่มสวัสดิการของนักเรียนและครู การจัดการศึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย การแจกคูปองเรียนรู้ การเพิ่มแหล่งเรียนรู้นอกโรงเรียน การให้อิสระแก่โรงเรียนในการบริหาร และการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมในการบริหารระบบการศึกษา 

พรรคการเมืองส่วนใหญ่ควรพิจารณาปรับปรุงนโยบายด้านการศึกษาที่เสนอใน 2 เรื่อง ประการแรก นโยบายการปรับหลักสูตรให้ทันสมัยของหลายพรรคการเมืองยังจำกัดอยู่เฉพาะการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ การเขียนโปรแกรม หรือการตอกย้ำค่านิยมดั้งเดิมให้แก่นักเรียน 

ประการที่สอง ยังไม่มีพรรคใดเสนอที่จะปรับปรุงการจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษา ซึ่งจะทำให้มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการทำนโยบายต่าง ๆ ที่พรรคการเมืองต้องการ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสัดส่วนงบประมาณด้านการศึกษาต่องบประมาณทั้งหมดในระดับที่ไม่ต่ำกว่าของประเทศพัฒนาแล้ว แต่กลับมีผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนต่ำกว่าของประเทศเหล่านั้นมาก ซึ่งสะท้อนว่า การใช้งบประมาณน่าจะยังไม่มีประสิทธิภาพ  

นอกจากนี้ มี 4 พรรคการเมืองที่เสนอนโยบายให้เรียนฟรีในระดับอุดมศึกษา โดยบางพรรคให้เรียนฟรีในระดับอาชีวะศึกษา ในขณะที่บางพรรคให้เรียนฟรีในระดับมหาวิทยาลัย 

แม้นโยบายเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของนักเรียนรายได้น้อยได้บ้าง แต่ข้อมูลอัตราการเรียนต่อในระดับชั้นต่าง ๆ ชี้ว่า การขาดโอกาสเรียนต่อในระดับการศึกษาพื้นฐานเป็นปัญหาใหญ่ที่ควรแก้ไขเสียก่อน 

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ชี้ว่าเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเด็กจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยที่สุดร้อยละ 10 ยังไม่มีโอกาสเรียนต่อหลังจบชั้น ม.3 ส่วนหนึ่งเพราะการศึกษาขั้นพื้นฐานยังไม่ “ฟรี” อย่างแท้จริง เช่น นักเรียน ม.ปลาย จากครอบครัวที่มีรายได้น้อยยังมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาเฉลี่ย 5,472 บาทต่อคนต่อปี โดยเกือบร้อยละ 90 เป็นค่าเดินทาง ค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าเครื่องแบบ 

ดังนั้น การให้เรียนอุดมศึกษาฟรีนอกจากจะไม่ตอบโจทย์กลุ่มที่มีความจำเป็นมากที่สุดแล้ว ยังจะเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มากขึ้นด้วย 

เรามีข้อเสนอแนะ 3 ประการต่อพรรคการเมืองในการปรับนโยบายการศึกษาคือ หนึ่ง ควรเร่งปรับหลักสูตรแกนกลางของการศึกษาพื้นฐานใหม่ โดยวางเป้าหมายการพัฒนาคนให้มี “สมรรถนะโดยรวม” มากกว่าการเรียนภาษาต่างประเทศหรือทักษะบางด้าน โดยให้ครอบคลุมทั้งการพัฒนาความรู้ ทักษะและเจตคติ 

สอง ควรส่งเสริมการเรียนฟรีในระดับการศึกษาพื้นฐานก่อน โดยจัดสรรทรัพยากรมากขึ้นให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา    

สาม ควรปรับงบประมาณด้านการศึกษาใหม่ โดยลดงบประมาณส่วนที่ไม่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนและครู เพื่อให้สามารถเพิ่มงบประมาณในการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงมากขึ้น

TDRI นโยบายด้านสังคม 4

4.นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน

หากเปรียบเทียบกับนโยบายด้านอื่น ๆ เช่น นโยบายการให้สวัสดิการสังคมแล้ว นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานยังไม่ได้รับความสนใจจากพรรคการเมืองต่าง ๆ มากนัก หรือถูกนำเสนอเพียงในลักษณะของนโยบายด้าน “ปากท้อง” ตัวอย่างนโยบายที่หลายพรรคการเมืองนำเสนอได้แก่ การใช้พลังงานหมุนเวียน การขายคาร์บอนเครดิต การแก้ไขระเบียบการซื้อขายไฟฟ้า และการแก้ไขปัญหา PM 2.5 เป็นต้น 

นโยบายที่สำคัญแต่ยังไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอเลย คือ นโยบายที่เกี่ยวกับการปรับตัวและการลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่มากต่อประเทศไทยที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันดับที่ 9 ของโลกตามการประเมินของ Global Climate Risk Index

นอกจากนี้ พรรคการเมืองก็ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนนักในการทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายใน ค.ศ. 2065 หรือ พ.ศ. 2608 ตามที่ประกาศต่อประชาคมโลก 

แม้จะมีบางพรรคการเมืองเสนอให้เลิกการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินภายใน พ.ศ. 2580 หรือส่งเสริมการใช้มอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่ดี แต่นโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็ถูกบางพรรคการเมืองลดทอนลงจนเหลือเพียงการสร้างรายได้จาก “คาร์บอนเครดิต” ของเกษตรกร ซึ่งเป็นการแปลงนโยบาย “สิ่งแวดล้อม” เป็นนโยบาย “ปากท้อง” ทั้งที่การจะสร้างรายได้ดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริง และทำให้คุณภาพคาร์บอนเครดิตไทยสูงขึ้นนั้น จะต้องพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะต้องดำเนินการในด้านต่าง ๆ อีกมาก     

นโยบายที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่หลายพรรคการเมืองนำเสนอคือ การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) ไปสู่การใช้พลังงานสะอาด เช่น การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยแผงโซลาร์ หรือเลิกการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินดังที่กล่าวไปแล้ว 

ในขณะเดียวกันก็มีหลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายลดค่าไฟฟ้าหรืออุดหนุนค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟบางกลุ่ม เช่นเกษตรกร หรือแก่ประชาชนทั่วไปทั้งหมด ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกหากไม่สามารถเปลี่ยนผ่านทางพลังงานได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ  

นอกจากนี้นโยบายการลดค่าไฟฟ้าน่าจะมีความท้าทายในทางปฏิบัติมาก เนื่องจากข้อจำกัดในปัจจุบันจากสัญญาการซื้อขายพลังงานระยะยาวจากผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน และการสำรองไฟฟ้าของประเทศในระดับสูงมาก แม้บางพรรคการเมืองเสนอนโยบาย “รื้อโครงสร้างพลังงาน” แต่ก็ยังไม่เสนอรายละเอียด 

ดังนั้น พรรคการเมืองที่เสนอนโยบาย “ลดค่าไฟฟ้า” หรือ “รื้อโครงสร้างพลังงาน” จึงควรให้รายละเอียดต่อแนวทางในการบรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบายดังกล่าวด้วย 

ปัญหา PM 2.5 เป็นปัญหาที่สำคัญ เนื่องจากก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนปีละกว่า 3 หมื่นคนและยังมีผลกระทบด้านสุขภาพต่อประชาชนจำนวนมาก เป็นเรื่องดีที่หลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น นโยบายในการส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานไฟฟ้า การห้ามเผาป่าและแปลงเกษตร ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้อง 

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้ให้เกิดผลสำเร็จจะต้องอาศัยความร่วมมือของหลายกระทรวง ซึ่งจะเป็นเรื่องท้าทายมากในรัฐบาลผสมที่น่าจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองจึงควรสร้างฉันทามติร่วมกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว มากกว่าจะแข่งขันกันทางนโยบายเหมือนในเรื่องอื่น