อัพเดตล่าสุด 6 กันยายน 2565 เวลา 15.12 น.
การรถไฟฯ เผยโฉมรถดีเซลรางปรับอากาศ KIHA 183 ปรับปรุงใหม่จากญี่ปุ่น พร้อมทดลองให้บริการเดินรถจากสถานีมักกะสัน-ฉะเชิงเทรา-กรุงเทพฯ ก่อนเปิดให้บริการปลายปี 2565 เสริมศักยภาพในการเดินทาง และการท่องเที่ยวภายในประเทศ
วันที่ 6 กันยายน 2565 ณ โรงงานมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย เยี่ยมชมความก้าวหน้าการปรับปรุงรถดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 พร้อมกับทดลองเปิดเดินรถจากสถานีมักกะสัน-ฉะเชิงเทรา-กรุงเทพฯ ก่อนเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวช่วงปลายปี 2565 เพื่อเสริมศักยภาพในการเดินทาง และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ
- ตลาดจีนแข่งยาก รถญี่ปุ่นสู้ไม่ไหว ฮอนด้า-นิสสันลดการผลิตตามมิตซูฯที่ถอนตัวแล้ว
- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้สูงอายุรับ 900 บาท เริ่มโอนแล้ว เช็กรายละเอียด
- ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด นราธร-อุรัชนา ศรีชาพันธุ์ ถูกฟ้องล้มละลาย
นายนิรุฒเปิดเผยว่า ตามที่การรถไฟฯ ได้รับมอบรถดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 จากบริษัท Hokkaido Railway Company (JR HOKKAIDO) ประเทศญี่ปุ่น มาจำนวน 17 คัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วย รถดีเซลรางปรับอากาศ แบบมีห้องขับสูง (High Cab) 40 ที่นั่ง จำนวน 8 คัน
รถดีเซลรางปรับอากาศ แบบไม่มีห้องขับ 68 ที่นั่ง จำนวน 8 คัน และรถดีเซลรางปรับอากาศ แบบมีห้องขับต่ำ (Low Cab) 52 ที่นั่ง จำนวน 1 คัน และได้มีการส่งมอบรถมาถึงเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564 เพื่อดัดแปลงเป็นตู้รถไฟสำหรับให้บริการแก่ประชาชน และส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศนั้น
ล่าสุด การรถไฟฯ โดยฝ่ายการช่างกล ได้ดำเนินการปรับปรุงรถดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 เสร็จสมบูรณ์แล้ว 3 คัน พร้อมกับได้นำมาเปิดทดลองเดินรถจากเส้นทางสถานีมักกะสัน-ฉะเชิงเทรา-กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก โดยมีคณะสื่อมวลชนร่วมทดลองใช้บริการ ประกอบด้วย รถดีเซลรางปรับอากาศ แบบมีห้องขับสูง จำนวน 2 คัน และรถดีเซลรางปรับอากาศ แบบไม่มีห้องขับ จำนวน 1 คัน
ซึ่งการทดลองเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งภายหลังจากทดสอบประสิทธิภาพขบวนรถชุดแรกแล้วเสร็จ การรถไฟฯจะเร่งปรับปรุงรถคันอื่นที่เหลือ เพื่อเปิดให้บริการได้เต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 2566
สำหรับการปรับปรุงรถดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 การรถไฟฯได้มีการปรับขนาดความกว้างของล้อจาก 1.067 เมตร ให้เป็นขนาด 1 เมตร ตามมาตรฐานรางรถไฟไทย รวมถึงได้ทดสอบสมรรถนะของรถ โดยวางแผนปรับปรุงรถเป็น 4 ชุด ชุดละ 4 คัน โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในการใช้งาน ควบคู่กับการรักษาเอกลักษณ์กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ในระยะแรก การรถไฟฯได้ปรับปรุงภายในรถใหม่ โดยมีการตรวจสอบระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ระบบห้ามล้อ ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ รวมถึงทำความสะอาดภายใน ซักล้างเบาะที่นั่ง ผ้าม่าน ปรับปรุงป้ายสัญลักษณ์ภายในจากภาษาญี่ปุ่นให้มีภาษาอังกฤษเพิ่มเติม พร้อมระบบห้องสุขา
โดยได้ทดลองระบบการทำงานแบบเสมือนจริงทั้งหมด อีกทั้งยังได้ดัดแปลงชุดหัวท่อเติมน้ำใช้ และชุดหัวสูบถ่ายจากถังเก็บสิ่งปฏิกูลให้สามารถใช้ร่วมกับรถโดยสารประเภทชุดด้วย
ขณะที่การปรับปรุงภายนอกตัวรถ มีการดัดแปลง และปรับปรุง นำโคมไฟส่องทางด้านบนของตัวรถออก เนื่องจากเกินเขตโครงสร้างของรถ (Loading Gauge) และได้ย้ายไฟมาติดตั้งที่หน้ารถแทน บริเวณซ้ายและขวาจำนวน 2 ดวง ตลอดจนดัดแปลงบันไดให้สามารถขึ้น-ลงได้กับชานชาลาต่ำได้
รวมถึงปรับสภาพผิวตัวรถภายนอก โดยได้ขัดทำสีใหม่ ด้วยการใช้น้ำยาลอกสีแทนการใช้ความร้อน เพื่อไม่ให้เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงใช้เฉดสีเดิมเพื่อคงกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นอยู่
ส่วนแผนการปรับปรุงรถระยะที่ 2 การรถไฟฯได้วางแผนการซ่อมบำรุงใหญ่ เพื่อเพิ่มสมรรถนะให้บริการเดินรถได้ในระยะยาว อาทิ การเปลี่ยนล้อ เพลาใหม่ พร้อม Bearing เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าใหม่ เปลี่ยนเครื่องทำลมอัด (Air Compressor) ใหม่ ปรับปรุงระบบปรับอากาศ ปรับปรุงระบบไฟแสงสว่างเป็น 220 V และระบบไฟฟ้าทั้งหมดเป็น 380 V/220 V 50 Hz โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการครบทุกคันประมาณ 2 ปี
ทั้งนี้ ภายหลังจากปรับปรุงขบวนรถ KIHA 183 เสร็จครบถ้วน การรถไฟฯจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อกำหนดเส้นทางให้บริการ โดยจะเริ่มให้บริการในเส้นทางระยะสั้น แบบวันเดย์ทริป ขบวนสำหรับเทศกาลในวันสำคัญ หรือให้บริการเช่าเหมาขบวนก่อน เพื่อตอบสนองความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการสูงสุด ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนธันวาคม 2565
“การรถไฟฯมุ่งหวังว่าการเปิดให้บริการขบวนรถดีเซลรางปรับอากาศ รุ่น KIHA 183 นี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเปิดประสบการณ์เดินทางใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ตลอดจนสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชนพื้นที่ใกล้เคียงทางรถไฟ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการช่วยกระจายรายได้ และสร้างความเข้มแข็งต่อเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายนิรุฒกล่าว