ประยุทธ์ เตรียมบินด่วนไปสัตหีบ ให้กำลังใจกำลังพล เหตุเรือหลวงสุโขทัย

ประยุทธ์ เรือหลวงสุโขทัย

นายกฯ ประยุทธ์ เตรียมบินด่วน ลงพื้นที่สัตหีบ ชลบุรี ให้กำลังใจกำลังพลและครอบครัวกำลังพล ผู้ประสบเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง กองทัพเรือ เผยสิทธิประโยชน์กำลังพลผู้เสียชีวิต เหตุเรือหลวงสุโขทัย

วันที่ 22 ธันวาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะบินด่วนลงพื้นที่สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจกำลังพลและครอบครัวที่สูญเสียและกำลังพลบางส่วนที่ยังสูญหายจากเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง รวมทั้งให้กำลังใจกับบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่

ด้าน พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ แถลงอัพเดตถึงแผนการปฏิบัติการค้นหาและให้การช่วยเหลือกำลังพลบนเรือหลวงสุโขทัยที่อับปางอ่าวไทย ว่า การปฏิบัติการในการค้นหาและช่วยเหลือ กำลังพลเรือหลวงสุโขทัยในวันนี้

ทางศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือสั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือภาคที่ 1 จัดเรืออากาศยานของกองทัพเรือและได้ประสานกับกองทัพอากาศรวมถึงศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ตลอดจนหน่วยงานอื่น ๆ เข้าร่วมภารกิจค้นหา

พื้นที่ในการปฏิบัติการโดยคำนวนจากทิศทางของกระแสน้ำและกระแสลมรวมทั้งบริเวณที่ตรวจพบและช่วยเหลือกำลังพลเรือหลวงสุโขทัยล่าสุดนำมาพิจารณาพื้นที่ ที่เป็นไปได้ว่ากำลังพลที่เหลือจะอยู่ตรงบริเวณดังกล่าว โดยในวันนี้ ยังคงแบ่งพื้นที่ปฏิบัติการออกเป็น 11 พื้นที่ มีเรือและอากาศยาน รับผิดชอบการค้นหาในพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้

  • เรือหลวงตากสิน อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 5
  • เรือหลวงนเรศวร อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 9 และทำหน้าที่ควบคุมอากาศยาน
  • เรือหลวงกระบุรี อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 10 และ 11
  • เรือหลวงนราธิวาส อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 12 เรือ ต.114 ลาดตระเวนเฝ้าตรวจ บริเวณหมู่เกาะอ่างทอง
  • เรือ ต.270 อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 14

ในส่วนของการปฏิบัติการของอากาศยาน เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลแบบดอร์เนีย จากทัพเรือภาคที่ 1 ทัพเรือภาคที่ 2 และทัพเรือภาคที่ 3 ทำการค้นหาในพื้นที่ค้นหา 6 และ 10 โดยมี เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแบบซีฮอว์ค และเฮลิคอปเตอร์ แบบ EC -725 ของกองทัพอากาศ รอรับการส่งกำลังบำรุงในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการ

นอกจากนั้น จะมีกำลังทางเรือของหน่วยงานต่าง ๆ ในศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ประกอบด้วย ตำรวจน้ำ กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึง กรมประมง ร่วมปฏิบัติการค้นหาในพื้นที่บริเวณชายฝั่ง

นอกจากนั้นในส่วนของการสำรวจใต้น้ำนั้น กองทัพเรือ ได้สั่งการให้ กองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการ นำยานสำรวจใต้น้ำ ของเรือหลวงบางระจัน ทำการบันทึกภาพใต้น้ำบริเวณเรือหลวงสุโขทัยอับปาง เพื่อค้นหาร่างของกำลังพลที่อาจติดค้างอยู่ภายในเรือ รวมถึงการตรวจหารอยรั่วของน้ำมันที่อาจเกิดการรั่วไหล

สรุปยอดกำลังพลบนเรือหลวงสุโขทัย จำนวน 105 นาย ช่วยเหลือได้แล้ว 76 นาย เสียชีวิต 6 นาย ยังคงสูญหาย 23 นาย ประกอบด้วย

  1. ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม
  2. จ่าเอก ไพร ร่วมญาติ
  3. พันจ่าเอก จิราวัฒน์ เจริญศิลป์
  4. จ่าเอก บุญเลิศ ทองทิพย์
  5. จ่าเอก ชูชัย เชิดชิด
  6. จ่าโท ธวัชชัย สาพิราช
  7. จ่าโท สหรัฐ อีสา
  8. จ่าตรี นพณัฐ คำวงศ์
  9. จ่าตรี สถาพร สมเนื้อ
  10. จ่าตรี ศราวุธ นาดี
  11. จ่าตรี ศุภกิจ ทิวาลัย
  12. จ่าตรี โสภณ วงษ์สนิท
  13. จ่าตรี สิริธิติ งามทอง
  14. พลทหาร วรพงษ์ บุญละคร
  15. พลทหาร อับดุลอาชีด มะแอ
  16. พลทหาร สุทธิพงษ์ หงส์ทอง
  17. พลทหาร จำลอง แสนแก
  18. พลทหาร ทวีศักดิ์ แซ่เชียว
  19. พลทหาร จิราวัฒน์ ธูปหอม
  20. พลทหาร ปรีชา รักษาภักดี
  21. พลทหาร ชลัช อ้อยทอง
  22. พลทหาร ชัยชนะ ช่างวาด
  23. พันจ่าเอก คุณากร จริยศ

สำหรับผู้เสียชีวิต กองทัพเรือจะเคลื่อนร่างของกำลังพลทั้ง 6 นาย ได้แก่ เรือโท สามารถ แก้วผลึก พันจ่าเอก สมเกียรติ หมายชอบ พันจ่าเอก อัชชา แก้วสุพรรณ์ พันจ่าเอก อำนาจ พิมที จ่าเอก จักรพงค์ พูนผล และพลทหาร อัครเดช โพธิ์บัติ เดินทางกลับ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ จากกองบิน 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีกำหนดเดินทางถึงสนามบินอู่ตะเภา เวลา 14.30 น.

พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) จะเป็นประธานในพิธีรับกำลังพลที่เสียชีวิต โดยพิธีจะเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับอย่างสมเกียรติ และในเวลา 17.00 น. จะมีการประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นาย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยตั้งบำเพ็ญกุศลฯ กิจการฌาปนสถานกองทัพเรือ สัตหีบ

สิทธิของกำลังพลผู้เสียชีวิต

ในส่วนของสิทธิกำลังพลผู้เสียชีวิตนั้น กรณีนี้กองทัพเรือถือว่ากําลังพลดังกล่าวเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ จะพิจารณาบําเหน็จด้านสิทธิกําลังพลสูงสุดให้แก่กําลังพลดังกล่าว โดยจะพิจารณาเลื่อนชั้นเงินเดือน 3-5 ชั้น กับขอพระราชทานเลื่อนยศ 2-4 ชั้นยศ รวมทั้งเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ตามสิทธิที่สมควรจะได้รับ โดยแยกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

ชั้นยศ นาวาตรี

จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น พลเรือโท กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 160,0000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 1,200,000 บาท

ชั้นยศ เรือเอก

จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น พลเรือตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 160,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป็นผู้ที่มีอายุราชการและฐานเงินเดือนสูงชั้นยศ พันจ่าเอก จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น นาวาตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 135,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 1 ล้านบาท

ชั้นยศ จ่าตรี-จ่าเอก

จะขอเลื่อนยศและขอพระราชทานเลื่อนยศเป็น พันจ่าโท-เรือตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 135,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 900,000 บาท

ทหารกองประจําการ

ในส่วนของทหารกองประจําการจะขอเลื่อนยศเป็น พันจ่าตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ำใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 100,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่น ๆ รวมเป็นเงินประมาณ 600,000 บาท

โดยกองทัพเรือ จะเร่งรัดการดําเนินการให้กําลังพลและครอบครัวได้รับสิทธิกําลังพลเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนในเบื้องต้นให้แก่กําลังพลและครอบครัวต่อไป