รฟม.โต้สุรเชษฐ์ ฟันธงรถไฟฟ้าสายสีส้มโปร่งใส

รฟม. ออกโรงโต้ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ยืนยันทุกขั้นตอนรถไฟฟ้าสายสีส้มโปร่งใส

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่ นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล ได้มีการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เกี่ยวกับการดำเนินการคัดเลือกเอกชน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ดังนี้

1.ประเด็นความชอบในการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินข้อเสนอในการคัดเลือกเอกชนครั้งที่ 1

ประเด็นนี้ BTSC ได้ฟ้อง รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ 2280/2563

– ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งที่ 300/2564 (ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีในข้อหาที่ BTSC ฟ้องขอให้เพิกถอนหลักเกณฑ์การร่วมลงทุน) ที่แก้ไขเพิ่มเติมและการเปลี่ยนแปลงเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1

– ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 192/2565 พิพากษายกฟ้อง ในข้อหาที่ BTSC ฟ้องว่าการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ เป็นการละเมิด เรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท ปัจจุบันข้อหานี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากคู่ความได้ยื่นอุทธรณ์

– สำหรับประเด็นเรื่องคำวินิจฉัยที่พรรคก้าวไกลกล่าวอ้างว่า ศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยว่า การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การคัดเลือกเป็นการกระทำที่ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ปรากฏในคำพิพากษาคดีดังกล่าวศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้อง และเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ศาลปกครองสูงสุดได้นั่งพิจารณาคดีครั้งแรก โดยตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นว่า คณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ดำเนินการแก้ไขเอกสารการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว การปรับปรุงหลักเกณฑ์การประเมินดังกล่าวไม่จำต้องรับฟังความเห็นของเอกชนใหม่ และไม่ทำให้ BTSC ได้รับความเสียหาย ไม่เป็นการละเมิดต่อ BTSC แต่อย่างใด ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างรอศาลปกครองสูงสุดพิพากษา

2.ประเด็นการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนครั้งแรก

ประเด็นนี้ BTSC ได้ฟ้อง รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ 580/2564

– ล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 ตุลาการผู้แถลงคดี ศาลปกครองสูงสุด ได้แถลงสรุปว่า การยกเลิกการคัดเลือกเอกชนฯ ครั้งแรก ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว เนื่องจากเหตุผลโดยสรุปดังนี้

1) คณะกรรมการคัดเลือกฯ มีอำนาจยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

2) การใช้ดุลพินิจยกเลิกการคัดเลือก เป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อให้โครงการสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ตามกรอบระยะเวลา อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชนในการจัดทำบริการสาธารณะแล้ว

ดังนั้น เมื่อการยกเลิกการคัดเลือกชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ตุลาการผู้แถลงคดีจึงเห็นควรพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น โดยเห็นควรให้ยกฟ้อง อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างรอศาลปกครองสูงสุดพิพากษา

3.ประเด็นการกีดกัน BTSC ไม่ให้เข้าร่วมการประมูลการคัดเลือกเอกชนครั้งใหม่

ประเด็นนี้ BTSC ได้ฟ้อง รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1646/2565

– ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2565 ยกคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศเชิญชวนฯ ฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ตามที่ BTSC ร้องขอ โดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการ ศาลปกครองกลาง พิจารณาแล้วมีความเห็นโดยสรุปว่า

1) การรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนและประกาศเชิญชวนฯ ได้ดำเนินการตามที่ได้กำหนดไว้ในประกาศคณะกรรมการ PPP เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชน พ.ศ. 2563

2) ประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าวที่ได้กำหนดคุณสมบัติให้มีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างงานโยธา ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ตาม มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562

3) ประกาศเชิญชวนฯ มีการเปิดกว้างให้เอกชนเข้าร่วมในการคัดเลือกมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้นกว่าประกาศเชิญชวนฯ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563

4) ประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นการตัดสิทธิหรือกีดกัน BTSC มิให้เข้าร่วมยื่นข้อเสนอ จึงรับฟังไม่ได้ว่าประกาศเชิญชวนฯ ดังกล่าวเป็นคำสั่งศาลปกครองทั่วไปที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่อาจถือได้ว่าการที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถหาผู้รับจ้างงานโยธาเพื่อจัดเตรียมข้อเสนอให้ทันภายในกำหนดเวลาเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงของบริษัท BTSC ผู้ฟ้องคดี ที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขภายหลังอันเกิดจากประกาศเชิญชวนฯ ที่พิพาท

ประกอบกับหากมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดีตามประกาศเชิญชวนฯ ฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ย่อมจะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ หรือแก่บริการสาธารณะ ของ รฟม. ซึ่ง BTSC สามารถยื่นข้อเสนอได้เช่นเดียวกับเอกชนรายอื่น ๆ

4.ประเด็นการพิจารณาคุณสมบัติของ ITD Group

ประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง ลักษณะของเอกชนที่ไม่สมควรให้ร่วมลงทุนในโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2562 โดยประกาศดังกล่าว ได้กำหนดว่า เอกชนที่มีลักษณะดังกล่าวไม่มีสิทธิได้รับคัดเลือกเป็นคู่สัญญาในโครงการร่วมลงทุน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการดำเนินการคณะกรรมการคัดเลือกฯ จึงมีข้อสรุปว่า เมื่อได้ผู้ผ่านการคัดเลือก แล้วหากพบว่ามีข้อสงสัยในประเด็นตามประกาศดังกล่าว จะสอบถามไปยังคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ก่อนการประกาศรายชื่อผู้ชนะการคัดเลือกต่อไป ทั้งนี้เมื่อ ITD Group ไม่ได้เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกฯ จึงไม่ต้องดำเนินการใด ๆ

5.ประเด็นส่วนต่างของข้อเสนอ 68,613 ล้านบาท ของข้อเสนอ BTSC

รฟม. ขอเรียนชี้แจงว่า แม้ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนของ BTSC ตามที่เป็นข่าวนั้น จะมีมูลค่าการให้ผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ค่อนข้างสูง แต่ในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน จะต้องมีการประเมินซองข้อเสนออื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการประเมินซองข้อเสนอด้านคุณสมบัติ และซองข้อเสนอด้านเทคนิค รวมถึงความน่าเชื่อถือของข้อเสนอทางการเงิน เพื่อให้ รฟม. มั่นใจได้ว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะสามารถดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ มีความปลอดภัย และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่จะเกิดต่อประเทศชาติและประชาชนได้จริง มิใช่การพิจารณาเพียงตัวเลขสรุปผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐเท่านั้น

ดังนั้น แม้บริษัทจะนำข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนในการยื่นข้อเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เมื่อปี 2563 มาแสดง แต่ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถนำตัวเลขมาเปรียบเทียบผลการยื่นข้อเสนอในการคัดเลือกเอกชนปัจจุบันได้ เนื่องจากไม่ทราบว่าข้อเสนอด้านคุณสมบัติ และข้อเสนอด้านเทคนิคของบริษัท จะผ่านเกณฑ์การพิจารณาหรือไม่ รวมทั้งข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนมีความเป็นไปได้ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือเพียงใด จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าข้อเสนอของ BTSC จะเป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐจริง

ทั้งนี้ รายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการได้ดำเนินการโดยใช้สมมุติฐานทางการเงินตาม MRT Assessment Standardization ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับทุกโครงการที่ รฟม. ดำเนินการมา มิได้เป็นการอุปโลกน์ข้อมูลขึ้นมาแต่อย่างใด นอกจากนี้ ในขั้นตอนการเจรจาต่อรองของคณะกรรมการคัดเลือก ได้มีการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ อย่างรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุด ซึ่งทำให้รัฐได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นจากเดิมมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท

6.รฟม.ขอยืนยันเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในคดีหมายเลขดำที่ อท30/2564

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำพิพากษา โดยศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า ผู้ว่าการ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกได้แก้ไขหลักเกณฑ์การประเมินข้อเสนอ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563 ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 และเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน การแก้ไขหลักเกณฑ์เป็นไปเพื่อประโยชน์ของรัฐ ไม่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ยื่นข้อเสนอรายใด และกรณีที่มีการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2563 ไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์หรือกระทำนอกขอบเขตของกฎหมาย ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงไม่มีมูลความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

ทั้งนี้ การดำเนินการประกาศเชิญชวนฯและคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เป็นการดำเนินการโดยคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนฯ และ รฟม. ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดในมาตรา 35 ถึงมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาร่างสัญญาร่วมลงทุนตามาตรา 41 เรียบร้อยแล้ว

สำหรับในขั้นตอนต่อไป รฟม. จะรอคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีที่ BTSC เป็นผู้ฟ้องคดี มาประกอบเรื่องเพื่อเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัด และคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ต่อไป