แลนด์บริดจ์ไทย 1 ล้านล้าน ชงรัฐบาลใหม่ปลุก ศก. “ชุมพร-ระนอง”

แลนด์บริดจ์

เป็นอีกหนึ่งโครงการเมกะโปรเจ็กต์รัฐที่ใช้วงเงินลงทุนเทียบเท่าสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ 10 สายรวมกัน

เพราะมีมูลค่าลงทุนโครงการ 4 เฟส จำนวน 1 ล้านล้านบาท ในที่นี้เรากำลังพูดถึงโครงการที่ยังเป็นแผนอยู่บนกระดาษของกระทรวงคมนาคม “แลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง”

ล่าสุดเพิ่งจัดทริปนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ 2 จังหวัด ก่อนจะดีเดย์จัดเวทีประชาพิจารณ์ประชาชนในท้องถิ่น วันที่ 16-17 สิงหาคม 2566 นี้

เส้นทางใหม่เอเชีย-ยุโรป

คีย์แมนภาครัฐ “ปัญญา ชูพานิช” ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนการจราจรและการขนส่ง (สนข.) กระทรวงคมนาคม ระบุว่า แลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง ยังคงเดินหน้าการทำงานในระดับปฏิบัติการ

โดยก่อนหน้านี้ สนข.ตั้งใจจะนำความคืบหน้าโครงการเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติหลักการ แต่มีการยุบสภาก่อน จึงต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งนี้ หลังจากมีมติเห็นชอบจากดำเนินการแล้ว จึงจะสามารถจัดโรดโชว์นักลงทุนในต่างประเทศทั่วโลกต่อไป

ปัญญา ชูพานิช
ปัญญา ชูพานิช

สำหรับรายละเอียดแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง มีชื่อเต็มว่า “โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน”

จุดเริ่มต้นมาจาก มติ ครม. วันที่ 21 สิงหาคม 2561 เห็นชอบกรอบแนวคิด โดยมี 3 จังหวัดคือ ชุมพร ระนอง นครศรีธรรมราช แต่ สนข.นับเวลาดำเนินโครงการ ณ ปี 2564 ที่มีการจัดจ้างที่ปรึกษา ทำหน้าที่ศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และโมเดลการพัฒนา ทำให้ถือว่าโครงการนี้เพิ่งดำเนินการมาได้ 2 ปี

หลังจากศึกษาสำรวจพื้นที่ทำท่าเรือ 10 กว่าจุด ปัจจุบันมาลงตัวที่การกำหนดจุดก่อสร้างท่าเรือ 2 จุดคือ ท่าเรือบริเวณแหลมลิ่ว จ.ชุมพร กับท่าเรือบริเวณแหลมอ่าวอ่าง จ.ระนอง ตั้งเป้าหมายว่า ในอนาคตเมื่อสร้างเสร็จ จะทำให้เป็นเส้นทางเดินเรือหลักสายใหม่ของเอเชียกับยุโรป

โฟกัสวิ่งเรือฟีดเดอร์

ผลศึกษาออกแบบมีจุดเน้นการขนส่งด้วยเรือขนาดเล็ก หรือเรือฟีดเดอร์ ซึ่งให้บริการขนส่งสินค้าถ่ายลำ (transshipment) ระวางบรรทุก 8,000-9,000 TEU (ตู้ 20 ฟุต) เพราะคงไม่สามารถไปแข่งขันดึงเรือคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ที่มีระวางบรรทุกลำละหลายหมื่นตู้ ซึ่งวิ่งในเส้นทางหลักผ่านช่องแคบมะละกาไปสู่ท่าเรือสิงคโปร์ ที่มีปริมาณขนส่งปีละ 35 ล้านตู้ได้

บิสซิเนสโมเดลโครงการ คาดการณ์ปริมาณตู้ผ่านท่าเรือฝั่งระนองรวม 19.4 ล้านทีอียู แบ่งเป็นสินค้าถ่ายลำ 13.6 ล้านทีอียู สินค้านำเข้า-ส่งออกของไทย 4.6 ล้านทีอียู และสินค้าขนส่งระหว่างจีนตอนใต้และกลุ่มประเทศ GMS 1.2 ล้านทีอียู

ส่วนท่าเรือฝั่งชุมพร รวม 13.8 ล้านทีอียู คาดว่าเป็นสินค้าถ่ายลำ 12.2 ล้านทีอียู สินค้านำเข้า-ส่งออกของไทย 1.4 ล้านทีอียู และสินค้าจีนตอนใต้กับ GMS 2 แสนทีอียู

ตามแผนแม่บท จะมีการลงทุนสร้างพอร์ตคาพาซิตี้รองรับปริมาณตู้ผ่านท่าฝั่งละ 20 ล้านทีอียู

เฟส 1 ลงทุน 5 แสนล้าน

องค์ประกอบแลนด์บริดจ์ มีการตัดถนนและทางรถไฟใหม่เชื่อมชุมพร-ระนอง ระยะทางรวม 93.9 กิโลเมตร แนวเส้นทางพาดผ่าน 2 จังหวัด 3 อำเภอคือ จ.ระนอง อำเภอเมือง, จ.ชุมพรผ่านอำเภอหลังสวน-อำเภอพะโต๊ะ

แบ่งเป็นทางบก 89.35 กิโลเมตร แผนที่วางไว้คือโครงการรหัส MR8 (Motorway+Rail 8) สร้างมอเตอร์เวย์+ทางรถไฟบนเส้นทางเดียวกัน มีการขุด 3 อุโมงค์ทะลุภูเขา โดยการขนส่งใต้ดินมีความชันไม่เกิน 1% ทำให้รถไฟสามารถทำความเร็วในการขนสินค้าได้

กับการก่อสร้างท่าเรือยื่นลงไปในทะเล ซึ่งจะต้องมีการถมทะเล หรือ claim lands ของท่าเรือระนอง 2.15 กิโลเมตร ท่าเรือชุมพร 2.48 กิโลเมตร

ไฮไลต์อยู่ที่วงเงินลงทุน นายปัญญากล่าวว่า แลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง ประเมินวงเงินลงทุนเต็มโครงการ 1 ล้านล้านบาท แบ่งก่อสร้าง 4 เฟส โดยเฟสแรกลงทุนสัดส่วนครึ่งหนึ่ง ถือเป็นการลงทุนแบบฟูลออปชั่น จากนั้นจึงจะเป็นการลงทุนเพื่อต่อยอดและขยายผลในอีก 3 เฟสที่เหลือ

ทั้งนี้ วางแผนเฟสแรกใช้เงินลงทุน 5.22 แสนล้านบาท ได้แก่ สร้างท่าเรือ 2 จังหวัด รวม 2.6 แสนล้านบาท พื้นที่ยกขนสินค้าขึ้น-ลง (SRTO) รวม 6 หมื่นล้านบาท และสร้างมอเตอร์เวย์ รวม 2 แสนล้านบาท เริ่มจากขนาด 4 ช่องจราจร ในอนาคตขยายเพิ่มเป็น 6 ช่องจราจรได้

ไทม์ไลน์ก่อสร้างท่าเรือเฟส 1 จำนวน 20 หน้าท่า (berths) เริ่มก่อสร้างปี 2569 กำหนดเสร็จปี 2573 สัมปทาน 50 ปี ไม่รวมเวลาก่อสร้างใน 5 ปีแรก จากนั้นเมื่อเปิดบริการจึงเริ่มต้นนับเวลาสัมปทาน

แลนด์บริดจ์

ลุ้นจัดโรดโชว์ปลายปีนี้

สำหรับปัจจัยการเมืองจะมีผลต่อความสำเร็จโครงการมากน้อยแค่ไหน นายปัญญากล่าวว่า ขึ้นกับโครงการมีการออกแบบให้รัดกุม โดยเชื่อว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ และทุกภาคส่วนเห็นชอบร่วมกัน จึงมั่นใจว่าภาคการเมืองจะให้การสนับสนุน โดย สนข.สามารถชี้แจงได้ และได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี

ในด้านแหล่งทุนและการลงทุน ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ เพราะรูปแบบจะออกไปโรดโชว์ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย เบื้องต้นประเมินว่าจะมีรัฐบาลใหม่และสามารถขอมติ ครม.ได้ภายในเดือนตุลาคม จากนั้นกำหนดโรดโชว์ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2566 เหตุผลที่ใช้เวลาโรดโชว์เพียง 2 เดือน เพราะโฟกัสกลุ่มนักลงทุนเป้าหมาย 10 กลุ่มจากทั่วโลก

“โครงการนี้ลงทุนแบบเหมาแพ็กเกจเดียว ทำแยกไม่ได้ เพราะต้องทำให้เป็นภาพรวมเดียวกัน รูปแบบจะมีการประมูลแบบอินเตอร์เนชั่นแนลบิดดิ้ง เปิดให้ผู้ประกอบการนักลงทุนไทยร่วมกับนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้ความเสี่ยงการลงทุนสำหรับรัฐบาลไทยค่อนข้างน้อย”

และ “เราให้นักลงทุนทั่วโลกมาสร้างให้ จากพื้นที่ว่างเปล่า พื้นที่ยังไม่มีความเจริญ เกิดนิคมอุตสาหกรรม ธนาคาร มีเรือมาจอด พื้นที่เชิงพาณิชย์รูปแบบคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการจ้างงาน และมีรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น”

โมเดลการลงทุน กิจกรรมหน้าท่าจะได้สัมปทานลงทุนท่าเรือกับมอเตอร์เวย์ ส่วนกิจกรรมหลังท่าเรือแล้วแต่นักลงทุนจะมองโอกาส และมาลงทุนเอง โดยประมูลแบบโอเปอเรเตอร์รายเดียว เพราะมีตัวอย่างในอดีต ต้องพัฒนาโครงการให้เสร็จพร้อมกันจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด

“กลุ่มทุนใหญ่ เราทำมาร์เก็ตซาวน์ดิ้ง เชิญนักลงทุนรายใหญ่แบบเปิดทั้งไทยและต่างชาติมารับฟังข้อคิดเห็นต่อโครงการ โฟกัสกลุ่มสายการเดินเรือรายใหญ่ กลุ่มโลจิสติกส์ คาดว่าจะมีการ JV-joint venture ระหว่างนักลงทุนไทยและต่างชาติ ต้องเป็นกลุ่มที่เดินเรือเป็น มีความเชี่ยวชาญทางการเงินและท่าเรือ”

สนข.

ถมทะเล 2 แสนล้าน

เจาะไส้ในแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง วงเงินลงทุนรวม 1 ล้านล้านบาท แต่เกลี่ยลงทุนก้อนแรกครึ่งหนึ่ง หรือ 5.22 แสนล้านบาทนั้น เนื้องานหลักที่น่าสนใจ และอาจเป็นจุดยากอีกจุดหนึ่งของความเป็นไปได้โครงการ นั่นคือต้องมีการถมทะเลในรัศมี 5 กิโลเมตรจากท่าเรือฝั่งทะเลอันดามัน ที่ จ.ระนอง และฝั่งทะเลอ่าวไทย ที่ จ.ชุมพร

ผลการถมทะเลจะทำให้เกิดพื้นที่ที่เรียกว่าเคลมแลนด์ (Claim Land) ประเมินว่าจะมีการใช้วงเงินท่าเรือละ 1 แสนล้านบาท เท่ากับท่าเรือชุมพรกับท่าเรือระนอง จะต้องใช้วงเงินถมทะเล 2 แสนล้านบาท ส่วนนี้เป็นหน้าที่รัฐบาลไทย หรือกระทรวงคมนาคมเป็นคนลงมือทำให้ก่อน

รูปแบบมีการถมทะเลคิดเป็นพื้นที่ฝั่งละ 7,000 ไร่ แต่จะนำมาเปิดประมูลสัมปทานเพียงฝั่งละ 1,000-2,000 ไร่ ที่เหลือพื้นที่เคลมแลนด์จะใช้ประโยชน์ของทางราชการ

ยังมีผลกระทบที่มีต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะระบบนิเวศประมง กับพื้นที่ป่าสมบูรณ์อีกบางส่วน ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมประเภท EHIA

“สถานการณ์โควิดทำให้โครงการล่าช้าในส่วนของการจัดทำรายงาน EHIA เพราะลงพื้นที่ภาคสนามไม่ได้ ทำให้ล่าช้า 12-15 เดือน แต่สามารถเร่ง ตามกำหนด คาดว่าทำแล้วเสร็จภายในมีนาคม 2567 ส่วนการศึกษาบิสซิเนสโมเดลยังทำต่อเนื่อง คาดว่าจะทำเสร็จใกล้เคียงกัน”