ตัวเมืองอุบลฯน้ำยังปริมาณสูง ลุ้นไม่มีน้ำเพิ่ม ปรับลดการระบายน้ำในเขื่อน

ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุ สัญญาณปริมาณน้ำในภาคอีสานดี น้ำเหนือไม่มาเติม หากไม่มีน้ำเพิ่มคาดปริมาณน้ำในเมืองอุบลฯลดลง กรมอุตุฯประเมินพายุโคอินุ คาดไม่เข้าไทยโดยตรง  

วันที่ 2 ตุลาคม 2566 นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุม ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า จากการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ ลุ่มแม่น้ำชี และแม่น้ำมูล จากนี้จะยังมีฝนตกต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์นี้ โดยมีปริมาณฝนอยู่ในเกณฑ์ 35-90 มิลลิเมตร นอกจากนั้น จะมีฝนตกเพิ่มในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง

สำหรับการติดตามสถานการณ์ลำน้ำมูล พบว่า ปริมาณน้ำฝนลดลง ทำให้ความจุน้ำในเขื่อนยังพอมีพื้นที่เนื่องจากปริมาณฝนท้ายเขื่อนน้ำน้อย ไม่มีน้ำลากเพิ่ม การระบายน้ำจากการลงพื้นที่ วันนี้ (2 ตุลาคม 2566) ปริมาณน้ำยังหน่วง ทำให้ไม่มีน้ำเข้ามาเพิ่ม

ส่วนในตัวเมืองอุบลราชธานี ปริมาณน้ำยังคงสูงกว่าตลิ่ง ปริมาณน้ำในเขตอำเภอสูงขึ้นแต่ก็ยังไม่มีน้ำเข้ามาเติม แต่ส่วนด้านท้ายของเมืองอุบลฯ มีระดับน้ำเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ก็พร้อมติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ปริมาณน้ำในเขื่อนสิรินธร จากการประชุมติดตามหากปริมาณน้ำในเขื่อนลดลง จะปรับลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนลงจากวันละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร มาอยู่ที่วันละ 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อให้มีประสิทธิภาพและปริมาณน้ำผ่านเมืองไปได้ดี

ADVERTISMENT

ปริมาณน้ำในเขื่อนปากมูล ได้เปิดบานพ่นน้ำแล้วเพื่อระบายน้ำออกมา ส่วนลำน้ำโขง ระบายน้ำได้ดี และไม่มีน้ำเข้ามาหนุนเพิ่มที่จะเป็นอุปสรรคในการเข้าเมืองอุบล

นายฐนโรจน์กล่าวว่า พายุโซนร้อน “โคอินุ” จากการติดตามกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ทิศทางของพายุจะไม่มีผลกระทบและมุ่งสู่เข้าประเทศไทยโดยตรง ซึ่งคาดจะผ่านไปที่เกาะไหหลำ เข้าสู่ประเทศจีน ส่วนผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากเคลื่อนตัวเข้าใกล้ประเทศไทย จะเหนี่ยวนำอากาศไปสู่จุดศูนย์กลางพายุ ทำให้ล่องกดอากาศต่ำทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกระดับตัวสูงขึ้น เกิดฝน ล่องความกดอากาศต่ำ ผ่านประเทศไทย

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์น้ำฝนที่ตก มวลน้ำกำลังเคลื่อนตัวผ่านเมืองอุบล ระดับน้ำทรงตัว ปริมาณน้ำตอนบนลดลง แต่สิ่งที่กังวล คงเป็นเรื่องของสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ฝนที่ตกเป็นจุด ๆ เช่น ลำน้ำไซบก น้ำลาก ระดับน้ำยกตัวสูงขึ้น 1 เมตร เกินการคาดการณ์ แต่ตอนนี้คลี่คลายแล้ว ก็ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ธรรมนัสติดตามลำน้ำมูล

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ลงพื้นติดตามสถานการณ์น้ำ บริเวณสถานีวัดแม่น้ำมูล M7 สะพานเสรีประชาธิปไตย พร้อมลงพื้นที่มอบของยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี

จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องบริเวณพื้นตอนล่างของภาคเหนือ และตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำชี-มูล ปัจจุบัน (30 ก.ย. 66) ที่สถานีวัดน้ำ (แม่น้ำมูล) M.7 อ.เมืองอุบลราชธานี มีระดับน้ำอยู่ที่ 112.70 ม. หรือสูงกว่าตลิ่งประมาณ 70 เซนติเมตร เพิ่มขึ้นจากวานนี้เล็กน้อย มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,718 ลบ.ม./วินาที

แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น คาดการณ์ว่าระดับน้ำในแม่น้ำมูลจะขึ้นสูงสุดในวันที่ (2 ต.ค. 66) ที่ระดับไม่เกิน 112.90 ม. หรือสูงกว่าตลิ่งประมาณ 90 เซนติเมตร

กรมชลประทานได้ใช้อาคารชลประทานทางตอนบนของแม่น้ำชี (เขื่อนชนบท เขื่อนมหาสารคาม เขื่อนวังยาง) และแม่น้ำมูล (เขื่อนราษีไศล) เพื่อหน่วงน้ำและผันเข้าระบบชลประทาน นำไปเก็บไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้า ส่วนตอนกลางจะเร่งระบายน้ำผ่านเขื่อนหัวนา เขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร และเขื่อนธาตุน้อย ก่อนจะเร่งระบายน้ำผ่านเขื่อนปากมูลลงสู่แม่น้ำโขงในอัตรา 3,372.5 ลบ.ม./วินาที ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังต่ำกว่าระดับแม่น้ำมูลประมาณ 66 เซนติเมตร ทำให้การระบายน้ำยังคงทำได้ดี

ด้านสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี มีพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำมูล แม่น้ำชี และลำเซบก ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 6 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง อ.ดอนมดแดง อ. ตระการพืชผล อ.ม่วงสามสิบ อ.วารินชำราบ และ อ.เขื่องใน กรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 8 นิ้ว บริเวณประตูระบายน้ำวัดเสนาวงศ์ ชุมชนท่าบ่งมั่ง อ.วารินชำราบ จำนวน 2 เครื่อง และบริเวณประตูระบายน้ำท่ากอไผ่ ชุมชนท่ากอไผ่ อ.วารินชำราบ จำนวน 2 เครื่อง รวมทั้งร่วมบูรณาการกับกองบิน 21 มณฑลทหารบกที่ 22 และชาวบ้าน เสริมแนวกระสอบทรายจำนวน 4,000 ใบ นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมเครื่องผลักดันน้ำจำนวน 100 เครื่องไว้ที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำมูล อ.พิบูลมังสาหาร เพื่อเร่งการระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขงให้เร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ กรมชลประทานยังคงเฝ้าติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุดในช่วงปลายฤดูฝน ปฏิบัติตาม 12 มาตรการรับมือฤดูฝน และ 3 มาตรการ (เพิ่มเติม) เพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะพื้นที่จุดเสี่ยงทุกจุด จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์