เปิดสถานการณ์ 10 โรคควรระวัง เตรียมพร้อมก้าวสู่ปีใหม่ 2568 สุขภาพดี

10 โรคควรระวัง

กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์และสถิติ 10 โรคควรระวังในช่วงสิ้นปี 2567 พร้อมแนะนำวิธีป้องกัน ให้คนไทย “ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ปลอดโรคและภัยสุขภาพ” พร้อมเฝ้าระวัง 7 วันอันตรายสำหรับวันหยุดปีใหม่นี้

กรมควบคุมโรค แถลงข่าวในหัวข้อ “ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ปลอดโรคและภัยสุขภาพ” รวมสถานการณ์สถิติ 10 โรคน่าเป็นห่วงและควรระวังในช่วงสิ้นปี พร้อมแนะวิธีดูแลตนเองและคนในครอบครัวให้แข็งแรงและห่างไกลจากภัยสุขภาพและโรคต่าง ๆ ดังนี้

โควิด – 19

สถิติผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม – 14 ธันวาคม 2567 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 44,548 ราย เสียชีวิต 220 ราย โดนมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสถิติในวันที่ 8 – 14 ธันวาคม 2567 พบผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 730 ราย เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้ดี

โรคไข้หวัดใหญ่

เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว แนวโน้มการระบาดของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจมักเพิ่มขึ้น  จากสถิติผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 7 ธันวาคม 2567 พบผู้ป่วย 639,108 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็กและวัยเรียน และผู้เสียชีวิต 48 ราย เป็นกลุ่มที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง, ไม่ได้รับวัคซีน และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป

ไข้เลือดออก

ส่วนของโรคที่ไม่ได้ติดต่อได้ง่ายอย่างไข้เลือดออกมีผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลสถิติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 11 ธันวาคม 2567 พบผู้ป่วยสะสม 101,581 ราย โดยในภาคใต้ยังคงมีจำนวนผู้ป่วยอยู่ เนื่องจากเผชิญกับฝนตกและน้ำท่วม ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นวัยเรียน ผู้เสีย 105 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และมีโรคประจำตัว

คำแนะนำ : กรมควบคุมโรคเน้นย้ำการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย พร้อมงดจ่ายยากลุ่ม NSAIDs แก่ผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออก พร้อมแนะนำให้ทายากันยุงเพื่อไม่ให้ถูกยุงกัด

ADVERTISMENT

ไอกรน

โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ติดต่อผ่านละอองฝอยที่เกิดจากการไอหรือจาม ติดง่ายในเด็กเล็กหรือผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคจะมีอาการคล้ายไข้หวัด และไอ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงพบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เช่น ไอเป็นชุดยาวจนหายใจไม่ทัน และมีเสียง “วู้ป” หลังไอ หอบเหนื่อย อาจเกิดภาวะหยุดหายใจและเสียชีวิตได้

ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 12 ธันวาคม 2567 พบผู้ป่วย 1,245 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีประวัติได้รับวัคซีนไม่ครบ และพบผู้เสียชีวิต 2 ราย (เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 เดือน)

ADVERTISMENT

คำแนะนำ : สำหรับการป้องกันให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด โดยจะฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กอายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ปี 6 เดือน และ 4 ปี จากนั้นควรให้ฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 10-12 ปี และกระตุ้นต่อเนื่องในวัยผู้ใหญ่ทุก 10 ปี

โนโรไวรัส

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน หรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus) สถานการณ์โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจากเชื้อไวรัสในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2561 – 2567 พบผู้ติดเชื้อ Norovirus GI, GII จำนวน 729 ราย เป็นเพศชาย 422 ราย เพศหญิง 307 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี

ในปีนี้ 2567 สถานการณ์โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันหรืออาหารเป็นพิษจากเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 13 ธันวาคม 2567 พบการระบาด 85 เหตุการณ์ พบมากที่สุดในโรงเรียน จำนวน 12 เหตุการณ์ มีผู้ป่วย 991 ราย

คำแนะนำ : สำหรับการป้องกันให้ยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” กินอาหารปรุงสุกใหม่ ไม่กินอาหารดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารปรุงสุกที่เก็บไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง ต้องอุ่นร้อนให้ทั่วถึงก่อนกินทุกครั้ง ล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดทุกครั้งก่อนหยิบจับอาหาร เลือกดื่มน้ำที่มีเครื่องหมาย อย. บรรจุภัณฑ์ไม่มีรอยรั่ว ส่วนน้ำแข็งให้เลือกน้ำแข็งที่ใส สะอาด ไม่มีสีกลิ่น ไม่มีฝุ่นละอองในก้อนน้ำแข็ง และที่สำคัญต้องไม่แช่ของอื่นปนกับน้ำแข็งที่รับประทาน

ไข้หวัดนก

โรคจากต่างประเทศ ได้แก่ ไข้หวัดนก สถานการณ์ทั่วโลกยังพบมีรายงานเป็นระยะ โดยเฉพาะสายพันธุ์ H5N1 แต่ยังไม่พบการติดต่อจากคนสู่คน ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อในประเทศเวียดนาม 1 ราย มีประวัติพบสัตว์ปีกป่วยตายใกล้บ้านผู้ป่วยหลายร้อยตัว

ขณะนี้ผู้ป่วยยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล และพบผู้ป่วย 2 ราย ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีประวัติสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ติดเชื้อในฟาร์ม ขณะนี้รักษาหายดีแล้ว

คำแนะนำ : รับประทานอาหารที่ปรุงสุก โดยเฉพาะสัตว์ปีก ไข่ และผลิตภัณฑ์จากโคนม หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก, สุกร หรือโคนมที่ป่วยหรือตาย เกษตรกรผู้เลี้ยงหากพบสัตว์ป่วยตายผิดปกติ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ ไม่ควรนำซากสัตว์ มาชำแหละประกอบอาหาร หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่, หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ และแจ้งประวัติเสี่ยงให้แพทย์ทราบ

ฝีดาษวานร

สถานการณ์ในปี 2567 พบผู้ป่วยจำนวน 19,823 ราย เสียชีวิต 73 ราย และในทวีปแอฟริกา พบผู้ป่วย 13,257 ราย เสียชีวิต 60 ราย สำหรับประเทศไทยในปี 2567 ตั้งแต่ต้นปี – 14 ธันวาคม 2567 พบผู้ป่วย 175 ราย ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ Clade II ส่วนสายพันธุ์ Clade Ib ยังคงพบแค่ 1 ราย

คำแนะนำ : ให้หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดหรือสัมผัสผู้มีผื่น ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น หมั่นล้างมือ ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วม เฝ้าระวัง สังเกตอาการเบื้องต้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หากมีอาการสงสัยให้รีบพบแพทย์ทันที อย่าชะล่าใจเนื่องจากมีโอกาสอาการรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้

ไข้โอโรพุช

สถานการณ์ทั่วโลก 1 มกราคม – 25 พฤศจิกายน 2567 พบผู้ป่วย 11,664 ราย เสียชีวิต 2 ราย พาหะหลัก คือ ตัวริ้น และอาจพบได้ในยุง พบผู้ป่วยมากในทวีปอเมริกา ระยะฟักตัว 4-8 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้เฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อปวดข้อ ปวดกระบอกตา และผื่น มีเลือดออกที่ผิวหนัง เลือดกำเดา และตามไรฟัน

ในประเทศไทย มีความเสี่ยงการระบาดค่อนข้างต่ำมาก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ พาหะหลักคือตัวริ้น ซึ่งไม่มีรายงานพบในประเทศไทย

คำแนะนำ : สำหรับผู้ที่เดินทางไปในประเทศไปที่มีการระบาด

  1. สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ป้องกันไม่ให้ถูกยุงและตัวริ้นกัด

2. ทายากันยุง หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มียุงหรือแมลง

3. หากเดินทางกลับประเทศไทยแล้วมีอาการป่วยไข้เฉียบพลัน และมีผื่นขึ้นภายใน 7 วัน ให้รีบไปพบแพทย์ และแจ้งประวัติการเดินทาง เพื่อดำเนินการสอบสวน วินิจฉัย และควบคุมโรคต่อไป

โรคจากต่างประเทศ

โรคระบาดที่ไม่ทราบสาเหตุในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ข้อมูล ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2567 พบผู้ป่วย 527 ราย มีผู้เสียชีวิต 32 ราย ลักษณะทางระบาดวิทยาและอาการของผู้ป่วย คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็ก เพศหญิง อาการที่พบบ่อยคือ มีไข้ ไอ ร่างกายอ่อนเพลีย

และเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 องค์การอนามัยโลกรายงานพบ 10 จาก 12 ตัวอย่างที่เก็บมาให้ผลบวกต่อเชื้อมาลาเรีย จำเป็นต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมจากตัวอย่างที่เก็บมา เพื่อยืนยันตัวการก่อโรคและการวินิจฉัยโรค

คำแนะนำ : สำหรับผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ ยังคงต้องรักษาสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล อย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าสู่สถานที่ปิด หรือผู้คนแออัดการล้างมือบ่อยๆ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น

พร้อมเน้นย้ำการป้องกันตนเองจากการถูกยุงหรือแมลงกัด ให้รับประทานอาหารที่สุกปรุงใหม่ และติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด รวมถึงสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการป่วยภายใน 1-3 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการป่วยหลังการเดินทางดังกล่าว

ปอดอักเสบ

ภาวะปอดอักเสบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า แนวโน้มการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนไทย เพิ่มสูงขึ้น 5.3 เท่า ในช่วง 7 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558 – 2565 ในปีนี้พบผู้ป่วยยืนยันจำนวน 3 ราย มีประวัติสูบบุหรี่ไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 90 วัน

ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบปอดมีลักษณะเป็นฝ้า ยืนยันไม่พบการติดเชื้อทั้งเชื้อไวรัส เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบเฉียบพลัน เช่น หายใจลำบาก ไอ เหนื่อยหอบ หรืออาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย

ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา ดังนี้

  1. พัฒนาองค์ความรู้ถึงโทษพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็ก เยาวชน และสาธารณชน

2. สร้างค่านิยมให้แก่เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ “ไม่มี ไม่ใช้ ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า”

3. เน้นย้ำให้โรงเรียนทุกแห่งดำเนินการสื่อสาร รณรงค์ สร้างกระแส ในสถานศึกษาประเด็น “ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า” พร้อมเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับร้านค้าที่มีการขายหรือจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่

ขับรถเร็ว-ดื่มแล้วขับ สาเหตุใหญ่ ‘อุบัติเหตุ’

รณรงค์ลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ ข้อมูลของปีที่แล้วระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 – 4 มกราคม 2567 พบว่า เกิดอุบัติเหตุ 2,288 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 284 ราย สาเหตุอันดับหนึ่ง คือ ขับรถเร็ว (38.90%) รองลงมา ดื่มแล้วขับ (23.16%)

สำหรับแนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 เน้นย้ำมาตรการ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ”

1.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ข้อมูลสถิติและปัญหาด้านการดื่มพื้นที่ เพื่อระบุพื้นที่เสี่ยง และกลุ่มเสี่ยงในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างเข้มงวด

2.ประชาสัมพันธ์ร้านค้าหรือสถานประกอบการ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายด้านการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เน้นประเด็น การขายตามเวลาที่กฎหมายกำหนดและห้ามขายให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี

3.บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดทุกราย ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ในผู้ขับขี่ทุกรายที่เกิดอุบัติเหตุ และรายงานผลการดำเนินงานทุกวัน