กรมวิทย์ชูชุดทดสอบตรวจ “ไวรัสซิกา” รู้ผลภายใน 15 นาที

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกา มียุงลายเป็นพาหะนำโรคติดต่อมาสู่คนได้โดยการถูกยุงที่มีเชื้อกัด ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการหรืออาการไม่รุนแรง อาการที่พบ เช่น มีผื่นไข้ ตาแดง ปวดข้อ นอกจากนี้ยังมีช่องทางติดเชื้อโดยการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกและทางเพศสัมพันธ์ มีหลักฐานความเกี่ยวข้องของไวรัสซิกากับภาวะทารกแรกเกิดมีศีรษะเล็กตั้งแต่กำเนิด และอาการระบบประสาทอักเสบ ประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาตั้งแต่ปี 2559 และ 2560 จำนวน 1,114 ราย และ 557 ราย ตามลำดับ

นพ.สุขุมกล่าวว่า สำหรับในปี 2561 (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2561) พบผู้ติดเชื้อจำนวน 73 ราย ซึ่งปัจจุบันไวรัสซิกายังไม่มียารักษาโรคและวัคซีนป้องกันโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้มีการพัฒนาวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 เป็นการตรวจสารพันธุกรรม ด้วยวิธี Real time RT-PCR ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอให้ได้ครั้งละมากๆ ในเวลาอันรวดเร็ว โดยอ้างอิงวิธีของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (US-CDC) พร้อมทั้งพัฒนาการตรวจแอนติบอดี ชนิด IgM และ IgG เพื่อตรวจทารกแรกเกิดและมารดา ซึ่งสามารถตอบสนองต่ออุบัติการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในประเทศ ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมีความสำคัญต่อการควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจายไปในวงกว้างได้

“เดิมกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจแยกเชื้อไวรัสซิกาด้วยเซลล์เพาะเลี้ยง C6 และตรวจแอนติบอดีวิธี Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่ยุ่งยากและใช้ทักษะความชำนาญสูงจึงใช้สำหรับการตรวจยืนยันเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้น จึงได้พัฒนาชุดทดสอบวิธี Immunochromatography เพื่อตรวจหาแอนติบอดี IgM และ IgG ต่อเชื้อไวรัสซิกา โดยรู้ผลภายใน 15 นาที ซึ่งชุดทดสอบนี้ ได้ดำเนินการทดสอบประสิทธิภาพและได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 13485:2016 แล้ว” นพ.สุขุมกล่าว
นพ.สุขุมกล่าวว่า ที่ผ่านมากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสซิกา 2 วิธี คือ 1.การตรวจสารพันธุกรรมไวรัสซิกา ในตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ และน้ำลาย ด้วยวิธี Real-time RT-PCR สามารถรู้ผลได้ภายใน 8 ชั่วโมง 2.การตรวจแอนติบอดีชนิด IgM และ IgG ต่อไวรัสซิกา ในตัวอย่างซีรัม ด้วยวิธี ELISA หากพบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อไวรัสซิกา สถานพยาบาลทุกระดับสามารถส่งตัวอย่างมาที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ในพื้นที่ต่างจังหวัดสามารถส่งตัวอย่างตรวจได้ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่ง ที่ตั้งกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ

 


ที่มา : มติชนออนไลน์