กรณีเรียกคือเบี้ยผู้สูงอายุโผล่อีก ล่าสุด หญิงอายุ 56 ปี ในจังหวัดชัยนาท ร้องเรียน แม่ที่เสียชีวิตไปแล้วถูกเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุ แต่ตัวเองไม่มีจ่าย ขอติดคุกแทน เพราะไม่มีเงินสู้คดี
วันที่ 25 มกราคม 2564 ข่าวสด รายงานว่า ได้รับการร้องเรียนจากนางมะลิ เณรแขก อายุ 56 ปี ชาวบ้านใน ต.แพรกศรีราชา อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ว่า มีหนังสือขอเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่จ่ายให้กับ นางชู เณรแขก ซึ่งเป็นมารดาของตน ย้อนหลัง เป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 ถึงเดือน พฤศจิกายน 2562 คิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 102,800 บาท (หนึ่งแสนสองพันแปดร้อยบาทถ้วน)
แต่เมื่อปี 2562 มีหนังสือจากเทศบาลตำบลสรรคบุรี มาขอเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขณะนั้นแม่ของตนเป็นผู้ป่วยติดเตียง ตนเองได้เข้าไปสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ และได้ทำการเซ็นยอมรับสภาพหนี้สินแทนแม่ไป โดยขอผ่อนชำระ เดือนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 102 เดือน ในจำนวนเงิน 102,800 บาท
ต่อมาเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2563 แม่เสียชีวิตลง หน่วยงานยังมีหนังสือทวงถามหนี้ ส่งมาให้แม่ตลอด ตอนนี้รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก เพราะตนอาศัยอยู่กับแม่เพียง 2 คน ในบรรดาพี่น้อง ได้เสียชีวิต ไปเกือบหมดแล้ว หนี้สินก็มาตกอยู่ที่ตนคนเดียว
จึงอยากวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยพิจารณาเรื่องการเรียกคืนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใหม่ โดยของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ขอให้ตัดออกได้หรือไม่ หนี้สินจะได้ไม่ต้องมาตกอยู่กับลูกหลาน ให้เดือดร้อนกัน
นางมะลิ ยังกล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาหลังหลังจัดการงานศพแม่แล้ว ได้ออกหางานทำในกรุงเทพฯ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ แต่นายจ้างได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จึงจำเป็นต้องเดินทางกลับบ้าน ตอนนี้ยังไม่มีงานทำ รายจ่ายบางเดือนไม่เพียงพอ ต้องไปกู้เงินคนอื่นมาจ่ายค่าเช่าบ้าน หากเรื่องของการเรียกคืนเงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มีการฟ้องร้อง ตนไม่คิดจะสู้คดี จะขอติดคุกแทน เพราะไม่มีเงินมาใช้หนี้อย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า นางบวน โล่ห์สุวรรณ อายุ 89 ปี ชาวบ้านใน ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ แจ้งว่ากรมบัญชีกลาง มีหนังสือเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย เป็นเงินจำนวน 84,000 บาท เนื่องจากได้รับบำนาญ กรณีลูกชายเป็นทหารเสียชีวิตจากเหตุคลังแสงระเบิด
จากนั้นกรมบัญชีกลาง ชี้แจงว่า เนื่องจากหลักเกณฑ์ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุว่า จะต้องไม่เป็นผู้ได้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ซึ่งแต่เดิม องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เจริญสุข จ.บุรีรัมย์ เป็นผู้จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้แก่นางบวน โล่สุวรรณ ตลอดมา
ต่อมาในปี 2563 ได้มีการดำเนินการโครงการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม ผ่านระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม (e-social welfare) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจ่ายตรงเบี้ยชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ระหว่างกรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ดังนั้น เมื่อ อบต. มีหนังสือสอบถามกรมบัญชีกลางให้ตรวจสอบกับฐานข้อมูลผู้รับบำนาญ ว่าผู้สูงอายุรายดังกล่าวเป็นผู้รับบำนาญหรือไม่ กรมบัญชีกลาง ได้ตรวจสอบพบว่า เป็นผู้รับบำนาญพิเศษ พร้อมทั้งได้มีหนังสือตอบ อบต. แล้ว
จากการพูดคุยเจ้าหน้าที่ได้เสนอให้คุณยายและครอบครัวสามารถผ่อนชำระได้ โดยตามระเบียบที่กำหนดไว้คือ หากผ่อนชำระภายใน 1 ปี จะไม่มีดอกเบี้ย แต่ถ้าเกิน 1 ปี ตามระเบียบก็กำหนดไว้จะต้องคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
เจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้คุณยายนำเงินจากบำนาญพิเศษดังกล่าว ไปผ่อนชำระ หากจะผ่อนแบบไม่มีดอกเบี้ย ต้องผ่อนเฉลี่ยประมาณเดือนละ 7,030 บาท จำนวน 12 เดือน ซึ่งคุณยายขอปรึกษาหารือกับทางลูกหลานก่อน เพราะหากยายผ่อนเดือนละ 7,030 บาท จะเหลือเงินใช้จ่ายแค่ประมาณ 3,000 กว่าบาท หลังจากเจ้าหน้าที่มาชี้แจงทำความเข้าใจทั้งยายและลูกสาว ก็เข้าใจระเบียบว่าจะต้องคืนเงิน แต่ด้วยความที่ฐานะยากจนและภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว จึงไม่มีเงินก้อนที่จะไปจ่ายคืน