ศบค. ผวาปลดล็อกดื่มเหล้า จุดชนวนโควิดรอบใหม่ ให้เอกชนร่วมรับผิดชอบ

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน

ศบค. ผวาปลดล็อกดื่มแอลกอฮอล์ หวั่นเกิดการแพร่ระบาดอีกรอบ โดยเฉพาะ กทม. เหตุเป็นพื้นที่ที่มีความซับซ้อน “ประยุทธ์” สั่ง ผู้ว่าฯ กทม. ถกร่วมสาธารณสุข ออกมาตรการเรื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ พร้อมให้ องค์กร สถานประกอบการ หรือสมาคมเข้ามารับผิดชอบร่วมกันหากมีการแพร่ระบาดเพิ่ม สธ.จับตา 3 ฉากทัศน์หลังเปิดประเทศ ที่ปรึกษา ศบค.ยอมรับเป็นห่วงเปิดประเทศ เชื่อเพิ่มไม่ถึง 20,000 รายต่อวัน

วันที่ 29 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. เป็นประธาน

ที่ประชุมมีมติปรับพื้นที่ควบคุมและเข้มงวดสูงสุด (สีแดงเข้ม) 23 จังหวัด เหลือ 7 ได้แก่ จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา

พื้นที่ควบคุมสูงสุด 30 จังหวัด เป็น 38 จังหวัด และ พื้นที่ควบคุม 24 จังหวัด เป็น 23 จังหวัด

พื้นที่เฝ้าระวังสูง 5 จังหวัด ได้แก่ นครพนม น่าน บึงกาฬ มุกดาหาร สกลนคร

นอกเหนือ มติการปรับพื้นที่สี เพื่อรองรับการเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน 2564 การยกเลิกการออกนอกเคหสถาน (ยกเว้นพื้นที่สีแดงเข้ม 7 จังหวัดที่ยังคงเวลา 23.00-03.00 น.) การผ่อนคลายให้ดื่มแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา ภูเก็ต

หวั่นผ่อนคลายดื่มแอลกอฮอล์ ทำโควิดระบาดเพิ่ม

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องการผ่อนคลายให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ว่า

สำหรับพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 4 จังหวัดที่ประกอบไปด้วย กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และภูเก็ต นั้น โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวย้ำว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาเรื่องนี้กันพอสมควร มีความห่วงใยในส่วนของผู้บริหาร ผู้อาวุโส รวมถึงที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของ ผอ.ศบค. ที่ได้พูดถึงความห่วงใยในประเด็นมาตรการที่ต้องออกมากำกับอย่างเต็มที่

“เพราะถ้าพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวตรงนี้ สามารถที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยเฉพาะการดื่มสุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย จะปล่อยให้เกิดขึ้นแบบวิถีปกติไม่ได้ เพราะจะเป็นเหตุของการติดเชื้อและเกิดการแพร่ระบาดกลับคืนมาได้ โดยเฉพาะกรุงเทมหานครที่มีความซับซ้อนในเชิงของการจัดการควบคุมโรค” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าว และว่า

ที่ประชุมแจ้งว่า ในเมื่อตรงนี้ต้องการเปิดประเทศ ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ ผอ.ศบค. ได้สั่งการให้กรุงเทพมหานครไปประชุมโดยนำข้อกังวลของที่ประชุมไปประชุมร่วมกันโดยคณะกรรมการโรคติดต่อของ กทม. จะต้องออกมาตรการเฉพะในเรื่องของการให้บริการการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ซึ่งผู้ว่าฯกทม. (พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง) ได้กล่าวถึงพื้นฐานเดิมคือ มีระบบของการจัดการเรื่องของ SHA+ ที่ให้สถานที่ต่าง ๆ ได้ประเมินตนเอง หรือประเมินผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. อันนี้ก็จะให้ แต่จะมีประเด็นอื่น ๆ

ให้ภาคเอกชน สถานประกอบการ ร่วมรับผิดชอบ

“ในที่ประชุมก็ยังบอกด้วยว่า องค์กร สถานประกอบการ หรือสมาคมที่มีส่วนรับผิดชอบการเปิดในด้านนี้ ขอให้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับผิดชอบในการดำเนินกิจการ กิจกรรมให้กลับไปเหมือนเดิม เมื่อมีภาวะที่สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือการแพร่ระบาดจะต้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่อที่จะคงพื้นที่สีฟ้านี้ให้อยู่ต่อไป” โฆษก ศบค.กล่าวย้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารรายใหญ่ ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกลงนามโดย นายวิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการบริษัท ถึง พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. โดยขอให้ยกเลิกข้อจำกัดในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้นักท่องเที่ยว ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เพื่อรองรับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

สำหรับมาตรการที่จะปรับเปลี่ยนไป นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่าขอให้ไปดูรายละเอียดในตารางแต่ละพื้นที่ประกอบ เนื่องจากมีรายละเอียดที่ค่อนข้างมากพอสมควร

ส่วนของพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 7 จังหวัดจะเป็น ดังนี้

  • การห้ามออกนอกเคหสถาน ขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น ห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 23.00 – 03.00 น.
  • Work From home อย่างน้อย 50 % หน่วยงานของรัฐ ผู้ประกอบการภาคเอกชนปรับเพิ่มได้ตามความเหมาะสม
  • การจัดกิจกรรมรวมกลุ่ม กรณีเกินจำนวนให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.พิจารณา ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 50 คน
  • สถานศึกษาทุกระดับ สถาบันกวดวิชา ให้ใช้อาคารสถานที่ เพื่อจัดการเรียนการสอน กิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก โดยผ่านความเห็นชอบจากผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอว. ร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อตังหวัด โดยมีมาตรการกำกับอย่างเคร่งครัด
  • สถานรับเลี้ยงเด็ก และสถานดูแลผู้สูงอายุ ให้เปิดดำเนินการแบบรับไป-กลับได้ โดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
  • สถานที่เล่นกีฬา หรือ แข่งขันกีฬา เปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกิน 22.00 น. จำกัดผู้เข้าร่วมจัดการ จัดการแข่งขันได้ จำกัดผู้ชม ได้แก่ กีฬาในร่ม ไม่มีผู้ชม กีฬากลางแจ้ง ผู้ชมไม่เกิน 25% กรณีแข่งขันให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณา
  • โรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ การแสดงพื้นบ้าน หรือ สถานที่ลักษณะเดียวกัน จำกัดจำนวนผู้ชม ห้ามบริโภคฯ พื้นที่ที่มีเครื่องปรับอากาศ 50% พื้นที่เปิดโล่ง 75%
  • ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือ สถานที่จัดนิทรรศการ รวมถึงสถานที่ลักษณะเดียวกัน ในห้างสรรพสินค้า และโรงแรม จัดประชุม ไม่เกิน 500 คน และให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่เพื่อไม่ให้แออัด
  • ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซิตี้มอล์ เปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกิน 22.00 น. งดจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ปิดบริการตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม สวนสนุก และสวนน้ำ
  • ร้านสะดวกซื้อ ตลาด ตลาดนัด เปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกิน 22.00 น. กรณีเปิดบริการเครื่องเล่น สวนสนุก ให้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
  • ร้านอาหาร ทั้งในและนอกศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า หรือ สถานที่อื่นใดที่มีร้านอาหาร บริโภคในร้านได้ จำกัดลูกค้า ร้านไม่มีเครื่องปรับอากาศ 75% ร้านมีเครื่องปรับอากาศ 50% กำหนดเกณฑ์ผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ เปิดตามปกติ แต่ไม่เกิน 22.00 น. งดการจำหน่ายและงดดื่มสุราในร้าน)
  • ร้านเสริมสวย ร้านนวด สปา สถานเสริมความงาม ร้านสัก เปิดบริการได้ ยกเว้น การใช้ไอน้ำ เปิดได้ตามปกติ แต่ไม่เกิน 22.00 น.

ส่วนพื้นที่ควบคุมอื่น ๆ (ดูตารางประกอบ)

จับตา 3 ฉากทัศน์ หลังเปิดประเทศ

นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการคาดการณ์ผลจากมาตรการป้องกันควบคุมโรค หรือฉากทัศน์หลังเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้ หรือการ ReOpening คาดว่า หลังเปิดประเทศจะทำให้เศรษฐกิจและสังคมของเราก้าวหน้าไปพร้อมกับการอยู่กับโควิดไปให้ได้ โดยมีการพยากรณ์ออกมาว่า เราจะเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นี้ จากการประเมินในหนึ่งสัปดาห์ หรือสัปดาห์แรกจะมีทางแยกไป 3 ทาง

ทางปลัดกระทรวงสาธารณสุขอยากเห็นทางแยกคือสีเขียว ทุกท่านการ์ดไม่ตก ทำหน้าที่เต็มที่ และควบคุมกันอย่างเต็มที่ เราจะอยู่เส้นสีเขียว และจะพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ แต่ถ้าเรา การ์ดตกนิดหน่อย ทำอะไรที่ไม่เข้มพอยังเป็นสีส้มอยู่ แต่ถ้าการ์ดตกมาก ไม่คำนึงเรื่องอื่น ๆ เลย ทั้งเรื่องความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว กราฟจะขึ้นเป็นสีเทาสูงสุดเป็นหลักหมื่นหรือหลายหมื่น

“อาทิตย์หน้าเราจะเข้าสู่ทางแยกนี้แล้ว นี่คือการพยากรณ์แค่เปิดประเทศ 1 สัปดาห์สามารถที่จะทำให้เรารู้กำหนดชีวิต อนาคต ได้ภายใน 1 สัปดาห์ ถ้าเราผ่านกันไปได้ เราจะนำเม็ดเงิน และความเป็นอยู่กลับมาคืนสู่ชีวิตวิถีใหม่ ตามที่เราต้องการ ก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกท่านด้วย” นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวในตอนท้าย

ที่ปรึกษา ศบค.รับเป็นห่วงเปิดประเทศ เชื่อเพิ่มไม่ถึง 20,000 ต่อวัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับฉากทัศน์ที่กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์จากมาตรการเปิดประเทศมีด้วยกัน 3 แนวทาง

  • ฉากทัศน์ที่ 1 (กราฟเส้นสีเทา) กรณีการระบาด ค่า (R) กลับไปเท่ากับก่อนล็อกดาวน์ และการฉีดวัคซีนโควิด-19 น้อยกว่าเป้าหมายช่วงเดือน ตุลาคม -ธันวาคม 2564
  • ฉากทัศน์ที่ 2 (กราฟเส้นสีส้ม)  กรณีการระบาด ค่า(R) ลดลงประมาณ 15% เทียบกับก่อนล็อกดาวน์ ผลจากการคงมาตรการปิดสถานที่เสี่ยงมาก งดดื่มสุราในร้านอาหาร จำกัดการรวมกลุ่ม ทำให้มีประสิทธิภาพ การป้องกันการระบาดลดลงบ้าง ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงได้ตามเป้าหมายเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2564
  • ฉากทัศน์ที่ 3 (กราฟเส้นสีเขียว) กรณีการระบาด ค่า (R) ลดลงประมาณ 25% เทียบกับก่อนล็อกดาวน์ ทุกภาคส่วนร่วมมือกับ 4 มาตรการหลักต่อเนื่อง

1. มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล Universal Prevention
2. มาตรการ COVID-Free Area,Zone,Setting
3. มาตรการคัดกรองด้วย ATK เฝ้าระวังกลุ่มแรงงานต่างด้าว
4. ฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ตามเป้าหมายเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2564

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากฉากทัศน์ที่กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์หลังเปิดประเทศ พบว่า ในฉากทัศน์ที่ 1 หากไม่ดำเนินมาตรการใด ๆ เลย ยอดผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่อาจพุ่งขึ้นไปถึง 35,000 ราย ส่วนฉากทัศน์ที่ 2 กรณีที่มีการระบาดบ้าง การคงมาตรการปิดสถานที่เสี่ยง การงดดื่มสุรา การฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมายในเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2564 ตัวเลขของผู้ติดเชื้อก็ยังคงอยู่ในระดับหมื่นราย/วัน ส่วนฉากทัศน์ที่ 3 การระบาดลดลง 25% คง 4 มาตรการหลักอย่างเข้มงวด ยอดผู้ติดเชื้อก็ยังอยู่ระดับต่ำกว่า 5,000 รายต่อวัน

ซึ่งก็สอดรับกับ ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ โดยยอมรับว่า การเปิดประเทศน่าเป็นห่วง แต่หากทุกคนร่วมมือกัน และเคร่งครัดมาตรการสาธารณสุข ก็เชื่อว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้ แม้ว่าตัวเลขผู้ป่วยจะขยับขึ้นไม่มาก แต่ก็เชื่อว่าจะไม่ถึง 20,000 รายต่อวัน

อย่างไรก็ตามส่วนตัวอยากให้ตัวเลขต่ำกว่า 5,000 คน ก็จะทำให้สถานการณ์ในประเทศดีขึ้น แพทย์ และพยาบาลจะไม่เหนื่อยมาก