“นักวิชาการแนะเลือกเนื้อหมูปลอดภัย ปลอดสารเร่งเนื้อแดง”

เมื่อเร็วๆ นี้ ทาง “เซ็นทรัลแล็บไทย” ได้ออกมาให้ข่าวเตือนภัยถึงอันตรายของสารเร่งเนื้อแดงจากเนื้อหมูที่ลักลอบนำเข้าว่าอาจสุ่มเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ซึ่งหากมนุษย์บริโภคเข้าไปจะได้รับสารอันตรายไปด้วย 

นับเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยกันตอบคำถามสังคมที่ในช่วงนี้มีคำถามเกี่ยวกับอันตรายของสารเร่งเนื้อแดงเข้ามาค่อนข้างมาก เนื่องจากมีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาเป็นจำนวนมาก สร้างความกังวลแก่ผู้บริโภคไม่น้อย จึงขออธิบายเกี่ยวกับสารชนิดนี้ เพื่อเป็นความรู้และช่วยให้คนไทยทุกคนเลือกซื้อเนื้อหมูเพื่อการบริโภคได้อย่างมั่นใจ 

ในอดีต กระบวนการเลี้ยงหมู นิยมใช้สารเร่งเนื้อแดงเพื่อประโยชน์ในการลดไขมันและเพิ่มเนื้อแดงในตัวหมู ซึ่งส่งผลเสียทั้งต่อตัวสัตว์และอาจตกค้างทำอันตรายถึงผู้บริโภคด้วย ต่อมาประเทศไทยจึงได้ออกกฎหมายห้ามใช้สารดังกล่าวในการเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค สะท้อนว่า “สารเร่งเนื้อแดง” นั้นอันตรายขนาดไหน สารเร่งเนื้อแดง เป็นสารสังเคราะห์ในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (Beta-Agonist) อาทิ แรคโตพามีน (Ractopamine) มีคุณสมบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อาหาร เพิ่มน้ำหนักตัวของสัตว์ โดยสารในกลุ่มนี้มีฤทธิ์เปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อ และลดการสะสมไขมันในเนื้อเยื่อ จึงถูกนำมาใช้ผสมในอาหารสัตว์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ซึ่งงานวิจัยพบว่าสารนี้ทำให้หมูกินอาหารน้อยลงแต่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและ

เพิ่มปริมาณเนื้อแดงมากขึ้น 

สำหรับประเทศไทย ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 269) พ.ศ. 2546 กำหนดให้อาหารทุกชนิดต้องตรวจไม่พบการปนเปื้อนของสารเคมีกลุ่มนี้ อย่างเช่น เนื้อหมูต้องตรวจไม่พบสารเคมีกลุ่มเบต้า-อะโกนิสต์ทุกชนิด รวมถึง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ประกาศห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตและนำเข้าซึ่งอาหารสัตว์ ตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2525 และพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2542 เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้บริโภคหากได้รับสารนี้ที่ตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ 

หลายคนสงสัยว่าการกินหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง ตกค้าง สามารถใช้ความร้อนในการต้ม ทอด ย่าง เนื้อหมู เพื่อสลายสารเร่งเนื้อแดงออกไปได้หรือไม่? คำตอบก็คือสารเร่งเนื้อแดงมีคุณสมบัติเสถียรต่อความร้อนทั้งน้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส และน้ำมันที่ 260 องศาเซลเซียส 

การต้ม อบ ทอด หรือใช้ไมโครเวฟ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารกลุ่มนี้ได้ ส่งผลให้สารเร่งเนื้อแดงที่ตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ สามารถส่งผลเสียไปถึงสุขภาพของผู้บริโภคได้โดยตรง 

โดยมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด หลอดลม กระเพาะปัสสาวะ อาจมีอาการมือสั่น กล้ามเนื้อสั่น-กระตุก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กระวนกระวาย วิงเวียนศีรษะ บางรายมีอาการเป็นลม นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการทางจิตประสาท และเป็นอันตรายมากสำหรับหญิงมีครรภ์ และผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ลมชัก และโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ ขณะที่ในต่างประเทศมีรายงานการพบผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงปนเปื้อนจนทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยทางร่างกายหลายครั้ง 

การใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างกว้างขวางยังพบในบางประเทศแถบตะวันตก อาทิ สหรัฐอเมริกา ด้วยประเทศเหล่านั้น มองว่าสารเร่งเนื้อแดงช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร ที่สำคัญคือคนในประเทศตะวันตกไม่กิน

เครื่องในหมู ทำให้รอดพ้นจากสารตกค้างได้ จึงยังคงอนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างเสรี จริงๆ แล้ว สารตกค้างไม่ได้ตกค้างเฉพาะในเครื่องใน แต่สามารถตกค้างในส่วนของกล้ามเนื้อทั่วทั้งตัว 

ในประเทศไทย การใช้สารเร่งเนื้อแดงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผู้บริโภคจึงสามารถวางใจกับการเลือกบริโภคหมูปลอดสารเร่งเนื้อแดงของไทยจากร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” 

หากไม่พบสัญลักษณ์ดังกล่าว ขอให้สังเกตเบื้องต้น โดยพิจารณาจากสีของเนื้อหมู ที่ต้องไม่มีสีแดงผิดปกติ เมื่อกดดูเนื้อจะนุ่มไม่กระด้าง หรือสังเกตตรงส่วนที่เป็นหมูสามชั้น หากพบว่ามีส่วนเนื้อมากผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจมีสารเร่งเนื้อแดงปนเปื้อน เนื่องจากหมูที่เลี้ยงแบบปกติจะมีสัดส่วนของมันหมู 1 ส่วน ต่อเนื้อแดง 2 ส่วน

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ 

รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านบริการวิชาการสุกร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ