SABUY โชว์กำไรไตรมาส 2/2565 พุ่ง 657% เล็งขยายการลงทุนเทคโนโลยี ไลฟ์สไตล์ เดินหน้าทรานฟอร์มเทคฯลดต้นทุน 50% ต่อธุรกรรม สยายปีกสู่ผู้ให้บริการทางการเงินในภูมิภาค ตั้งเป้าโต 2 หมื่นล้านในปี 2566
วันที่ 9 สิงหาคม 2565 บมจ.สบาย เทคโนโลยี (SABUY) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ประจำปี 2565 รายได้รวมและกำไรเติบโตต่อเนื่อง โดย SABUY มีรายได้รวม 756 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 95%) กำไรสุทธิ 356 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 657%) จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
นายชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SABUY รับรู้กำไรจากการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มของ SABUY ซึ่งมีทั้งหมด 6 กลุ่มธุรกิจคือ 1.Payments and Wallet ธุรกิจบริการด้านการชำระเงินและระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์ 2.Enterprise & Life ธุรกิจให้บริการสำหรับองค์กรและไลฟ์สไตล์ด้วยความเข้าใจผู้บริโภค
3.Connext ธุรกิจช่องทางการจัดจำหน่ายและเชื่อมต่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่ม 4.Financial Inclusion ธุรกิจให้บริการสินเชื่อและประกันภัย 5. InnoTainment ธุรกิจนวัตกรรมทางสื่อ ดิจิทัลมีเดีย และเครือข่าย 6.Venture ธุรกิจการลงทุนเพื่อสนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืน
ผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ซึ่งบริษัท มีรายได้รวม 756 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 369 ล้านบาท หรือ 95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรขั้นต้น 215 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็น 19% และมีกำไรสุทธิ 356 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 309 ล้านบาท หรือ 657% โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 47%
“รายได้จากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ จัดว่าเป็นไตรมาสปราบเซียน โดยเฉพาะจากลูกค้าฝั่งตู้เติมเงินที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเงินเฟ้อและรายได้ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เราอยากเน้นให้เห็นอัตราการเติบโตของธุรกิจในส่วนต่าง ๆ ที่จะสร้างความยั่งยืนต่อไป ซึ่งความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องลงทุนด้านเทคโนโลยี บุคลากร โดยมีกองทุนเพื่อรับมือกับอนาคต” นายชูเกียรติกล่าว
นอกจากนี้ SABUY ยังตั้งเป้าหมายรายได้ภาพรวมปี พ.ศ. 2565 ที่ 5,000 ล้านบาท จากธุรกิจเดิมประมาณ 3,000 ล้านบาท (เครื่องเติมเงิน ตู้เวนเดอร์)
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจใหม่ที่ขยายการลงทุน คือกลุ่ม Connext มีเป้ารายได้ราว 500 ล้านบาท กลุ่ม Enterprise & Life ราว 1,300 ล้านบาท
สำหรับเป้าหมายในปี พ.ศ. 2566 มุ่งมั่นที่จะสร้างรายได้ถึง 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ธุรกิจเดิม 5,000 ล้านบาท ธุรกิจใหม่ในกลุ่ม Enterprise & Life ประมาณ 9,000 ล้านบาท กลุ่ม Connext ประมาณ 3,000 ล้านบาท กลุ่ม InnoTainment ประมาณ 1,000 ล้านบาท กลุ่ม Financial Inclusion ประมาณ 2,000 ล้านบาท
“ส่วนสำคัญนอกเหนือจากรายได้ คือกำไร จากเดิมธุรกรรมจากตู้เติมเงิน หรือโซลูชั่นจ่ายเงินจากร้านค้า หรือแอปพลิเคชั่น ยังมีต้นทุนต่อธุรกรรมสูง โดยเฉพาะเราตั้งเป้าว่ายุคต่อไปคือการขยายบริการด้านการเงินไปยังตู้เติมเงินของเรา ทั้งการถอนเงิน ฯลฯ
โดยมุ่งไปที่ระดับภูมิภาคด้วย ทำให้พาร์ตเนอร์หลายรายอาจมองว่าต้นทุนต่อธุรกรรมที่สูงจะทำให้กำไรน้อย แต่เราได้มีการลงทุนพัฒนาด้านเทคโนโลยีในทุกด้าน เพื่อมุ่งลดต้นทุนต่อธุรกรรมลง 50% การพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะแล้วเสร็จในปีหน้า เพื่อรองรับเป้าหมายรายได้ 20,000 ล้านบาทของเรา เมื่อเราควบคุมต้นทุนได้จากการใช้เทคโนโลยีของเราย่อมทำให้อัตรากำไรสูงขึ้น” นายชูเกียรติกล่าว
โดยการทรานส์ฟอร์มองค์กรออกมาให้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนธุรกิจทุกตัวในอีโคซิสเต็มโดยตรง ได้ทำ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1.Differentiation Layer คือการมุ่งพัฒนาการใช้งานให้ยืดหยุ่นและเข้าถึงง่าย แต่จำเป็นต้องใช้ เช่น Google Map คือตอบโจทย์คนที่อยากดูแผนที่ ใช้งานง่าย ใช้ทุกวัน จนคนไม่จำเป็นต้องจดจำเส้นทางอีกต่อไป
โดยธุรกิจของ SABUY ได้เริ่มขยายไปในชีวิตประจำวันแต่ละส่วนมากขึ้น ตั้งแต่ “ตื่นยันหลับ” โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจใหม่อย่าง Enterprise & Life และ InnoTianment ความซับซ้อนทางเทคโนโลยีจึงหลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงต้องมีการมุ่งเน้นจัดการความหลากหลายเหล่านี้
2.Core Technology เป็นการเสริมแกร่งให้กับธุรกิจต่าง ๆ ที่ขยายเข้าไปลงทุน เนื่องจากการที่ SUBUY ขยายขอบเขตธุรกิจไปมากเป็น Sabuyverse ดังนั้น การจัดการจากส่วนกลางเป็นสิ่งสำคัญ
3.Infrastucrture ด้วยธุรกิจของ SABUY เกี่ยวพันกับข้อมูลโดยตรง เมื่อธุรกิจขยายไปหลายกลุ่มจึงได้เริ่มทดลองสร้างศูนย์ข้อมูลด้วยตัวเอง 3 แห่งพบว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาได้อีก กล่าวคือสามารถเป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลได้ และจะพร้อมเสนอบริการคลาวด์ (Cloud Infrastructure Provider) ให้ลูกค้าในปี 2566 เช่นกัน
อีกเรื่องที่ SABUY ให้ความสำคัญ คือเรื่องความยั่งยืน จึงมีการตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในกิจการที่จะส่งเสริมรายได้และความยั่งยืน จากธุรกิจโซลูชั่นส์และช่องทางการขายและบริการ (Solutions and Channels) ผ่าน Drop-off ต่าง ๆ และธุรกิจการขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ (Retail) ผ่านทาง PTECH
นอกจากนี้ เรื่องการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง จะทำได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโดยการคุมค่าใช้จ่ายได้ดีจากการควบรวมกลุ่ม Drop-off หลายแบรนด์เข้าด้วยกันเมื่อช่วงต้นปี เช่น The Letter Post, Point Express, PaysPost, ตลอดจนการนำบริษัทอื่น ๆ เข้ารวมกลุ่ม เช่น CitySoft, ForthSABUY, TeroSABUY, PFS
การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องของ SABUY เกิดควบคู่กับการวางกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนในการเติบโต หรือ Growth Strategy โดยในส่วนของการเติบโตอย่างยั่งยืน หรือ Sustainability Growth ได้มีการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทั้งด้านการพัฒนาบุคลากร การนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในระบบงานและลงทุนเพื่อนำเข้ามาใช้
นายชูเกียรติกล่าวทิ้งท้ายว่า การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ SABUY มีความจริงจัง การลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ เพื่อเสริมอีโคซิสเต็ม เป็นการคิดมาอย่างดี ด้วยข้อมูลลูกค้าที่ SABUY ถือไว้นั้นมีมากกว่าข้อมูลของธนาคารที่มีเฉพาะเรื่องการเงิน แต่ SABUY มีกว้างและลึกถึงพฤติกรรมของลูกค้า จึงรู้ว่าควรลงทุนในธุรกิจแบบไหนเพื่อเสริมอีโคซิสเต็มในภาพรวม
“เราต้องการทางที่ถูกต้อง เราไม่ต้องการทดลอง แต่เราอยากทำทุกอย่างให้ถูกแต่ต้น ดังนั้น เราจึงไม่ใช้สตาร์ตอัพในการขยายธุรกิจ แต่ให้ทุกคนในองค์กรทุ่มเททำงานอย่างจริงจังเต็มที่” นายชูเกียรติกล่าว