INTUCH กำไรปี’65 ลด 2% แต่ปันผลยังปัง

อินทัช เปิดงบปี 64 รายได้ 1.4 หมื่นล้าน ลดลง 6%

INTUCH แถลงผลประกอบการปี 2565 กำไร 10,533 ล้านบาท ลดลง 2% จากปีก่อน  ผลจาก ส่วนแบ่งผลกำไรจากเอไอเอสลดลงจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนโครงข่าย ค่าไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพิ่ม พร้อมแจ้งปันผล หุ้นละ 4.72 บาท

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 รายงานจาก บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH กลุ่มธุรกิจด้านการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และดิจิทัล โดยการถือหุ้นและเข้าไปบริหารงาน (Holding Company) ได้ประกาศผลดำเนินงานในปี 2565 ที่ผ่านมาว่า กลุ่มอินทัชมีกำไรสุทธิรวม 10,533 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน (10,889 ล้านบาท)

การลดลงของกำไร ส่วนใหญ่เป็นผลจาก

1.การลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากเอไอเอส เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนโครงข่ายจากราคาค่าไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการหลัก

2.การขาดทุนสุทธิที่ลดลง เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายโดยรวมภายหลังการปรับโครงสร้างองค์กรเมื่อช่วงสิ้นปี 2564

3.การลดลงของการรับรู้รายได้จากการลงทุนในโครงการร่วมลงทุน เนี่องจากในปี 2564 บริษัทรับรู้ net unrealized gain จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในโครงการร่วมลงทุน ขณะที่ในปี 2565 บริษัทรับรู้ net realized gain จากการขายเงินลงทุนในในสตาร์ทอัพโครงการร่วมลงทุน จำนวน 10 แห่ง จำนวนรวมทั้งสิ้น 30 ล้านบาท

4.การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งผลกำไรจากการดาเนินงานที่ยกเลิก (ไทยคม) ส่วนใหญ่เป็นผลจากในปี 2565 มีกำาไรจากการขายเงินลงทุนในไทยคมของอินทัช ซึ่งแสดงเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานที่ยกเลิก สุทธิกับส่วนแบ่งผลกำไรจากการดำเนินงานของไทยคมที่ลดลงเนื่องจากมีการรับรู้ ขาดทุนจากการด้อยค่าของดาวเทียมในปี 2565

การจ่ายเงินปันผล ปัจจุบันอินทัช มีนโยบาย จะจ่ายเงินปันผลจากงบการเงินเฉพาะบริษัท โดยพิจารณาจ่ายจากเงินปันผลส่วนใหญ่ที่บริษัทได้รับจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลังหักค่าใช้จ่าย หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด และการจ่ายเงินปันผลนั้นไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีนัยสําคัญ

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของอินทัช เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติเสนอการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 ในอัตรา 4.72 บาทต่อหุ้น โดยอินทัชจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2565 แล้ว ในอัตราหุ้นละ 3.16 บาท คงเหลือที่จะจ่ายในอัตราหุ้นละ 1.56 บาท

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าว ขึ้นอยู่กับมติการอนุมัติเงินปันผลของที่ประชุมสามัญผู้ถือประจำปี 2556 ของอินทัช

ภายในรายงาน ระบุด้วยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2565 เริ่มดีขึ้นเนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว หลังจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คลี่คลายลง และการผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตามยังคงมีผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อรวมถึงราคาพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงความเสี่ยงอื่น ๆ อาทิ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการไช้จ่าย ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจในกลุ่มอินทัชในปี 2565 เติบโตไม่มากนัก ในขณะที่ต้นทุนโดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภคสูงขึ้นมาก ทำให้กำไรสุทธิของอินทัชลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน

การดำเนินงานใน เอไอเอส ยังคงมุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์ในการใช้บริการที่ดีให้แก่ลูกค้า ณ สิ้นปี 2565 โครงข่าย 5G ของ เอไอเอส มีความครอบคลุมกว่าร้อยละ 85 ของประชากรในประเทศ และมีผู้ใช้บริการ 5G 6.8 ล้านราย หรือประมาณ 15% ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รวม ในส่วนของบริการอินเทอร์เน็ต บ้านความเร็วสูงและบริการลูกค้าองค์กร ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง ณ สิ้นปี 2565 มีจำนวน 2.2 ล้านราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากปีก่อน จากการมุ่งเน้นการหาตลาดแบบ FMC (Fixed-Mobile-Content Convergence) และมุ่งเน้นในการเป็นผู้นำในด้านคุณภาพ

โดยในปี 2565 เอไอเอสได้ประกาศที่จะเข้าซื้อกิจการ บริษัท ทริปเปิลทรี บรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต (3BB) และ เข้าซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้าง พื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF”) ในสัดส่วนร้อยละ 19 โดย AWN ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเอไอเอสที่ดำเนินธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ต บ้าน โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างกระบวนการขออนุญาตจาก กสทช. ซึ่งคาดว่าการเข้าท่ารายการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาส 2/2566

เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2565 อินทัชจำหน่ายหุ้นทั้งหมดในไทยคมที่อินทัชถืออยู่จำนวนทั้งสิ้น 450,870,934 หุน (คิดเป็นร้อยละ 41.13 ของหุ้นที่ ออกจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของไทยคม) ให้กับ บริษัท กัลฟ์ เวนเชอร์ส จำกัด (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) (“กัลฟ์”)) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 4,473 ล้านบาท และได้นำเงินสดที่ได้รับจากการจำหน่ายหุ้นไทยคมจ่ายเป็นปันผลระหว่างกาล จํานวน 1.40 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา

ในปี 2565 อินทัชมีนโยบายมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการร่วมลงทุน (โครงการอินเว้นท์) และทำให้ในปีนี้อินทัชจำหน่าย เงินลงทุนในสตาร์ทอัพในโครงการอินเว้นท์ จำนวน 10 แห่ง มีผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 1.85 เท่าของเงินลงทุน โดย ณ สิ้นปี 2565 อินทัชมี สตาร์ทอัพภายใ โครงการอินเว้นท์ จํานวน 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท อุ๊คบี จํากัด บริษัท วาย เอ็ม (ไทยแลนด์) จํากัด บริษัท เพียร์ พาวเวอร์ จํากัด บริษัท โคนิเคิล จํากัด บริษัท พาโรนิม จํากัด และบริษัท อีคอมเมิรซ เอ็นเนเบลอส์ พีทีอี ลิมิเต็ด