
Bitcoin ร่วงหนักในรอบ 8 เดือน หลุด 60,000 หมื่นเหรียญสหรัฐ ท่ามกลางความกังวลเรื่องการคงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เม็ดเงินไหลออกจากกองทุน Bitcoin ETF เฉียด 500 ล้านเหรียญสหรัฐในหนึ่งสัปดาห์
วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ราคาเหรียญ Bitcoin ร่วงหลุดจากระดับ 60,000 เหรียญสหรัฐ สู่ 57,000 เหรียญสหรัฐ หรือติดลบกว่า 10% ในรอบ 24 ชม. ร่วงหล่นอย่างต่อเนื่องในเดือนที่ผ่านมา หรือติดลบ 22% ในรอบเดือน เป็นการร่วงหล่นมากที่สุดในรอบ 8 เดือน
จากช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 2566 ที่ราคาบิตคอยน์ตกต่ำลงกว่า 20% จาก 31,000 เหรียญสหรัฐ เป็น 24,000 เหรียญสหรัฐ ก่อนจะเริ่มไต่ระดับต่อเนื่อง และได้รับอิทธิพลจากที่ ก.ล.ต.สหรัฐอนุมัติให้มีการจัดตั้งกองทุน Bitcoin Spot ETF ของ 11 กองทุนยักษ์ใหญ่ในช่วงเดือน ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ทำให้มีเม็ดเงินจากตลาดทุนไหลเข้ากองทุน Bitcoin ETF มากกว่า 5.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ที่ 73,000 เหรียญสหรัฐ ในเดือน มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ในจังหวะก่อนเกิดเหตุการณ์ใหญ่ที่เรียกว่า Bitcoin Halving
ทั้งนี้ ตลอดเดือน เม.ย. 2567 ราคาบิตคอยน์พักตัวอยู่ที่ระดับ 60,000-70,000 เหรียญสหรัฐ และล่าสุดเพิ่งจะหลุดลงไปเคลื่อนไหวที่ระดับ 57,000 เหรียญสหรัฐ
สำนักข่าว รอยเตอร์ รายงานว่า จากภาพรวมเศรฐกิจโลกที่มีความกังวลจาก Federal Open Market Committee (FOMC) ที่ออกมาคาดการณ์ว่าในปีนี้ อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยใด ๆ ทั้งมุมมองของหมู่นักลงทุนที่เห็นตรงกันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเลยในปีนี้ ซึ่งส่งผลกระทบถึงดอกเบี้ย สินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหว เช่น สกุลเงินดิจิทัล หุ้นและพันธบัตรในตลาดเกิดใหม่ หรือแม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์
นักลงทุนจึงตอบรับความกังวลเหล่านั้น เห็นได้จากเม็ดเงินในกองทุน Bitcoin ETF ที่ใหญ่ที่สุด 10 อันดับในสหรัฐ กำลังเผชิญกับการไหลออกรายสัปดาห์ที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ได้รับอนุมัติในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากข้อมูลของ LSEG data พบว่ามีเงินทุนไหลออกจาก กองทุน Bitcoin ETF กว่า 496 ล้านเหรียญสหรัฐ