
ศูนย์วิจัยกสิกร เผยรายงาน AI and Thailand (Vol 2) เอไอสร้างผลกระทบต่อแรงงานไทยโดยรวมน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ แต่กระทบมากในอุตสาหกรรมบริการซึ่งมีสัดส่วน 52.4% ของ GDP งานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มากที่สุด คือ งานออฟฟิศทั่วไป
วันที่ 19 มิถุนายน 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เปิดเผยรายงาน “AI and Thailand (Vol 2) – Workforce ไทย จะเปลี่ยนอย่างไรจาก AI” ระบุว่าAI น่าจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย เฉพาะงานที่อยู่ในออฟฟิศหรืองานด้านวิชาการเป็นหลัก ซึ่งภาพรวมไทย จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายประเทศ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า AI จะมีผลกระทบมากที่สุดในอุตสาหกรรมการบริการของไทย ที่มีสัดส่วนถึง 52.4% ของ GDP โดยมีความเสี่ยงที่จะถูกแทนที่ด้วย AI อยู่ที่ประมาณ 2.8 แสนคน หรือ 3.5% ของคนที่ทำงานในภาคบริการทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 34.7% ของ GDP
เนื้อหาในรายงาน ได้มีการสรุปประเด็นสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
“AI เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยมีการลงทุนมากกว่า 91.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2030 แต่การนำ AI มาใช้อาจจะไม่ได้มีแต่ด้านบวก Goldman Sachs คาดการณ์ว่า AI อาจจะทำให้มีการเลิกจ้างงานถึง 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก
สำหรับคนในสายงานวิชาการ เช่น นักวิจัย ทนาย หรือ ดีไซน์เนอร์ คาดว่าจะมีความเสี่ยงจาก AI ที่จะลดบทบาทของพวกเขาลง ตัวอย่างเช่น บริษัทการเงินชั้นนำของโลก BlackRock ได้เลิกจ้างพนักงาน 600 คนหรือ 3% ของจำนวนพนักงานทั้งบริษัทในเดือนมกราคม 2024 เพราะ AI มาทดแทน
อย่างไรก็ดี AI อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยน้อยกว่า เนื่องจากพนักงานในภาคบริการของประเทศไทยมีสัดส่วนน้อยกว่า 4% ที่มีความเสี่ยงสูงจากการถูก AI มาทดแทน ถึงแม้ว่าในตอนนี้ 61% ของ CEO ในประเทศไทย เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า
จากการสำรวจ CEO ในไทยโดย PwC ในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า 61% ของ CEO เชื่อว่า AI จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของบริษัทอย่างมากในอีก 3 ปีข้างหน้า และ 58% เชื่อว่าจำเป็นต้องมีการพัฒนาทักษะใหม่ของพนักงาน [อ้างอิง] แต่ในขณะนี้มีเพียง 36% ของ CEO ที่นำ AI มาใช้ในธุรกิจของพวกเขาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็น ว่าความกังวลและการดำเนินการไม่ไปในทิศทางเดียวกัน
AI จะมีผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ดี AI จำเป็นต้องมีการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ก่อนในระดับหนึ่งเพื่อให้ขยายตัวได้ เช่น ประชากรต้องมีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ที่สูง หรือ มีแหล่ง Computer Processing และฐานข้อมูลใน Data Center จำนวนมาก เพื่อที่ใช้ระบบ Large Language Model ของ AI ได้
ประเทศไทยเรายังคงล้าหลังเมื่อเทียบกับต่างประเทศในด้านความพร้อมทางดิจิทัล โดยในตอนนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 35 ใน World Digital Competitive Ranking และมี Data Center รองรับแค่ 41 แห่ง น้อยกว่า EU มาก (เช่น ฝรั่งเศสมี 205 แห่ง)
เพราะฉะนั้น AI อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยน้อยกว่าหลายประเทศ เพราะ AI จะมีผลกระทบต่องานที่อยู่ในออฟฟิศหรืองานด้านวิชาการ ซึ่งจำนวนผู้คนที่ทำงานสายนี้ในไทยถือว่ามีสัดส่วนน้อย อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ AI จะไม่ได้มาแค่ทดแทนสายงาน (เช่นการทำ admin) แต่จะสามารถมาสนับสนุนสายงานได้โดยการ Augment (เช่น การตรวจบัญชี) แต่ก็มีหลายสายงานที่จะโดนผลกระทบน้อยเช่น หมอนวด หรือ การเป็นคุณครูห้องเรียน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า AI จะมีผลกระทบมากที่สุดในอุตสาหกรรมการบริการของประเทศไทยซึ่งมีสัดส่วนถึง 52.4% ของ GDP โดยการเปลี่ยนแปลงจะคล้ายกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นในภาคการผลิตที่นำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาช่วยในอดีต ซึ่ง AI จะเริ่มแทรกแซงงานในภาคบริการและการสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ความเสี่ยงของแต่ละอุตสาหกรรมจะไม่เหมือนกัน โดยการวิจัยของ World Economic Forumและ Indeed (Website เกี่ยวกับงาน และการสมัครงาน) แบ่งสายงานต่างๆ เป็นความเสี่ยงระดับ สูง ปานกลาง และ ต่ำ ดังนี้
ความเสี่ยงสูง | งานด้านข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคนิค กิจกรรมการบริหารและการบริการสนับสนุน การบริหารราชการและการป้องกันประเทศ |
ความเสี่ยงปานกลาง | การขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์
การขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า กิจกรรมทางศิลปะ ความบันเทิง และการนันทนาการ |
ความเสี่ยงต่ำ | การก่อสร้าง
การศึกษา งานด้านสุขภาพ และงานสังคมสงเคราะห์ ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร กิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ |
สำหรับภาคบริการไทย งานที่เสี่ยงต่อการถูกแทนที่ด้วย AI มากที่สุด คือ งานออฟฟิศทั่วไป เช่น ธุรกิจการเงิน บริการด้านเทคนิค ธุรกิจสื่อสาร และดีไซน์ ในขณะเดียวกัน งานที่เสี่ยงต่ำ คือ งานที่ต้องอาศัยการเข้าถึงบุคคล เช่น การสอน การดูแลสุขภาพ และการบริการลูกค้าโดยตรง
นอกจากนี้ ภายในแต่ละสายงานภาคบริการ ยังมีความเสี่ยงแตกต่างกันในหลายระดับด้วย เช่น ในสายงานนันทนาการถือว่าเสี่ยงน้อย แต่สายงานกิจกรรมทางศิลปะจะมีความเสี่ยงสูงจาก AI เช่น MidJourney (AI ที่สามารถสร้างภาพโดยที่คนใช้งานใส่แค่ ประโยคสั้นๆ)
AI อาจจะจะมีผลกระทบต่อ จำนวนผู้คนน้อยกว่าที่คาด
ทั้งนี้ หากพิจารณาความเสี่ยงของ AI กับจำนวนคนในสายงาน และมูลค่า GDP แล้ว จำนวนงานของผู้คนที่มีความเสี่ยงที่จะถูกแทนที่ด้วย AI ซึ่งถือว่าต่ำ ประมาณ 2.8 แสนคน หรือ 3.5% ของคนที่ทำงานในสายบริการทั้งหมด แต่จะมีมูลค่าสูงถึง 34.7% ของ GDP ของภาคบริการ ด้วยเหตุผลมาจากสัดส่วนของคนที่ทำงานในงานที่ไม่เสี่ยงสูง เช่น ก่อสร้าง (0.9 ล้านคน) หรือจากการก่อสร้างที่อยู่อาศัย (1.8 ล้านคน) แต่สัดส่วนคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงสูง เช่น การเงิน (2.9 หมื่นคน) และบริการวิชาชีพอื่นๆ (9.5 หมื่นคน) มีจำนวนน้อยกว่ามาก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ประเทศไทยควรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก AI ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กล่าวคือไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือการใช้ประยุกต์ใช้งาน AI อย่างรวดเร็ว เช่น หาก GPT4 สามารถผ่านการทดสอบทางการแพทย์ หรือ CFA จะทำให้งานที่มีรายได้สูงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้วย AI ได้
บุคลากรด้านวิชาการยังคงต้องมีความรู้เฉพาะด้าน แต่ควรเปลี่ยนแนวความคิดและปรับใช้เครื่องมือที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยใช้ AI มากขึ้นในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency) และผลิตผลการทำงาน (Productivity) เช่น ช่วยสรุปความคิด หรือช่วยเขียนโค้ด
รายงานวิจัย AI and Thailand นี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เพื่อเผยแพร่เป็นการทั่วไป โดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะ หรือ ข้อมูลที่เชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือที่ปรากฏขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา
ทั้งนี้ KResearch มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสม ความครบถ้วนสมบูรณ์ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลดังกล่าว และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ชวน เสนอแนะ ให้คำแนะนำ หรือจูงใจในการตัดสินใจเพื่อดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด ดังนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังและใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใดๆ KResearch จะไม่รับผิดในความเสียหายใดที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว