
ดร.สันติธาร เสถียรไทย Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โพสต์เฟซบุ๊ก การผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอจากจีนที่อาจเปลี่ยนโลก
โดยระบุว่า 5 คำถามสำคัญที่ตามมาจากการผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอของจีนที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในตอนนี้
ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลก แต่ยังมาจังหวะที่สหรัฐ เปลี่ยนรัฐบาลพอดี เสมือนเป็นการ ‘สะบัดหาง’ ครั้งสำคัญของปีงูเล็กเลยก็ว่าได้ และอาจมีผลกระทบในวงกว้างอีกด้วย (ใครไม่ได้ตามข่าวนี้ผมแปะลิงก์ข้อมูลเกี่ยวกับเอไอตัวนี้ไว้ในคอมเมนต์ครับ)
ผมมองว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเปิดอย่างน้อย 5 ประเด็นสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ จึงอยากลองแชร์ไว้เผื่อไปช่วยคิดและติดตามกันต่อครับ
1.จีน vs อเมริกา. การมาของ DeepSeek ตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีเอไอของอเมริกายังนำโลกอยู่จริงไหม หรือจีนสามารถวิ่งไล่กวดได้แล้วแม้จะไม่ได้เข้าถึงชิปคุณภาพสูงสุดที่โดนกีดกันจากสหรัฐและพันธมิตร
และหากไล่กวดได้จริงตามตัวเลขการทดสอบความสามารถเอไอต่าง ๆ ที่ออกมา ต่อไปสหรัฐจะตอบโต้อย่างไร:
- จะเพิ่มความเข้มข้นของสงครามการค้า-เทคโนโลยีเพื่อให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ได้ยากขึ้นไปอีกไหม หรือ/และ
- จะทุ่มทุนยิ่งกว่าเดิมสร้างกับโครงการเอไอขนาดยักษ์อย่าง Stargate ที่มูลค่าที่ประกาศเกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ
แต่ในทางกลับกันก็มีคนบอกว่า เพราะไปจำกัดการเข้าถึงชิปของจีนนี่แหละเลยทำให้เขาต้องคิดค้นวิธีใหม่ที่สร้างเอไอได้ประหยัดกว่าเดิม ทำ ‘กันดารกลายเป็นสินทรัพย์‘
2.ความสิ้นเปลืองทรัพยากร. การที่ Deepseek ใช้เงินในการพัฒนาเอไอน้อยกว่าพวกบริษัทเทคโนโลยีดัง ๆ ของอเมริกาประมาณ 20-30x และใช้ชิปที่ไม่ได้ ’ทรงพลัง‘ เท่า (มีคนบอกว่าชิปที่พวกเขาใช้ แค่นักเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยในอเมริกายังมีใช้เลย)
ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนและบริษัทเทคว่า “เอ้ะ ที่เราลงทุนไปหลายพันล้าน เพื่อให้ได้ชิปที่ทรงพลังที่สุดนี่จริง ๆ แล้วมันจำเป็นหรือเปล่า”
สรุปเราจ่ายไปเพื่อซื้อ ’เนื้อ’ หรือ ’ไขมัน’ กันแน่ ? หรือว่า:
เงินอาจจะไม่ใช้มากขนาดนั้น
ชิปอาจจะไม่ต้องทรงพลังขนาดนั้น
พลังงานก็อาจจะไม่ต้องใช้หนักขนาดนั้น
นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นวงการเทคและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องตื่นตระหนกตกใจพานิคร่วงกันเป็นแถวเมื่อวานนี้

3.โมเดลแบบเปิด vs ปิด. คนส่วนใหญ่อาจมองสงครามเอไอเป็นระหว่างสหรัฐ vs จีน แต่สำหรับคนในวงการเทคโนโลยี อีกศึกที่คุกรุ่นมานานคือระหว่าง โมเดลแบบเปิด (Open Source) ที่เสมือนเปิด ‘สูตรลับ‘ หรือ โค้ดให้คนอื่นสามารถเอาไปศึกษา ใช้พัฒนาต่อยอดได้ กับโมเดลแบบปิดที่ไม่ได้เปิดข้อมูลเหล่านี้ เช่น ChatGPT
Deepseek คือเป็นแบบเปิด จึงทำให้เกิดคำถามว่าโมเดลแบบเปิดนี้มันเจ๋งจนไล่กวดโมเดลแบบปิดที่ซ่อนสูตรลับของตัวเองแล้วหรือ ? นึกภาพหากร้านอาหารอร่อยมาก ๆ เปิดสูตรให้คนเอาไปทำที่บ้านแล้วทำออกมามันอร่อยไม่แพ้ร้านแพง ๆ ที่เก็บสูตรเป็นความลับ ต่อไปใครจะอยากไปจ่ายแพงเพื่อกินที่ร้าน
แต่ก็มีคำถามต่อไปอีกว่า แล้วต่อไป Deepseek จะยังเปิดสูตรตัวเองไปเรื่อย ๆ แบบนี้ไหม หรือวันดีคืนดีก็จะปิดมันและเก็บตังค์ค่าใช้แพง ๆ และ/หรือ จะมีการเอาข้อมูลของ User ไปใช้อย่างไร เพราะบางคนก็ห่วงเรื่อง Data Governance
4.ผู้นำ-ผู้ตาม. Deepseek ใช้เวลาแค่ 2 เดือนกว่า ๆ เท่านั้นในการพัฒนาเอไอที่มี ความสามารถใกล้เคียงกับโมเดลรุ่นใหม่ ของ OpenAI โดยใช้โมเดลของ OpenAI ช่วยเทรนสอนโมเดลของตนเองด้วย เสมือน OpenAI เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกแทบตายกว่าจะบรรลุเคล็ดวิชาใหม่ แต่พอนักเรียนมาเลียน/เรียนต่อแป๊บเดียวสามารถได้วิชาระดับเดียวกันมาได้ (ภาษานักลงทุนคือ Moat หรือคูเมืองป้องกันปราสาทเรา มันไม่ได้ข้ามยากเท่าที่คิด)
จึงทำให้เกิดคำถามว่าวงการเอไอนี่ผู้นำได้เปรียบมากจริงไหม หากผู้ตามสามารถตามได้เร็วขนาดนี้ และยังทำได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก แบบนี้มันยังคุ้มที่จะลงทุนพัฒนาเพื่อเป็นผู้นำ ‘บรรลุเคล็ดวิชาใหม่ ๆ‘ ไหม
เพราะผู้นำด้านเอไออาจถูกดิสรัปต์ง่ายกว่าที่คิด
5.อนาคตของเอไอ. ในมุมผู้พัฒนาและลงทุนกับเอไอ คำถามเหล่านี้อาจทำให้ขนหัวลุก แต่ในมุมของผู้ใช้ พัฒนาการนี้ก็อาจมองในมุมบวกได้เช่นกัน
- ต้นทุนพัฒนาเอไอถูกลงทำให้ค่าบริการถูกลง คนเข้าถึงได้มากขึ้น
- เอไออาจสามารถใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้น
- โมเดลแบบเปิดอาจทำให้คนเก่ง ๆ ทั่วโลกสามารถศึกษาและเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ สร้างเอไอที่ตอบโจทย์และเหมาะกับบริบทของสังคมตนเอง
- การพัฒนาเอไออาจมีการแข่งขันมากขึ้น Generative AI กลายเป็น ‘เทคโนโลยีโหล ๆ’ ขึ้น ผลักดันให้หลายเจ้าอาจต้องหามุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แนวอื่นมากขึ้น คิดเรื่องแอปพลิเคชั่นมากขึ้น ไม่ใช่ทุ่มเงินสร้างมันสมองที่ฉลาดอย่างเดียว จึงอาจทำให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายขึ้น
ในทางกลับกัน การที่แต่ละประเทศต่างแข่งกันสร้างสุดยอดเอไออาจทำให้ต่างลดความสำคัญด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง ทำให้ยิ่งมีโอกาสเกิดเอไอแบบอันตรายต่อสังคมขึ้นหรือไม่
แน่นอนว่าเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ Deepseek อีกมาก และก็เป็นไปได้ว่าต่อไปอาจมีการหักมุมจากผู้เล่นอื่นอีกที่ไม่ใช่ DeepSeek เลยก็เป็นได้
แต่อย่างน้อยก็คิดว่า 5 ประเด็นนี้คือคำถามที่เราควรตั้งและช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดกับเทคโนโลยีที่มีโอกาสเปลี่ยนโลกและกระทบเราทุกคนในอนาคตครับ
อ้างอิงจากเพจ สันติธาร เสถียรไทย https://www.facebook.com/share/p/18BXNqn4MB/?mibextid=wwXIfr