#Huawei ขึ้นเบอร์ 1 ทวิตฮิตในไทย-ชาวเน็ตตื่นตัวผลกระทบ “หัวเว่ย” โดนแบน

บรรดาผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งในไทยและทั่วโลก ต่างวิตกกังวล หลังสำนักข่าว “รอยเตอร์” รายงานข่าวว่า สมาร์ทโฟนของหัวเว่ย อาจจะได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ โดยเฉพาะ “Google” ที่อาจจะต้องระงับการช่วยเหลือทางเทคนิคและอัพเดทระบบปฏิบัติการ Andriod บนสมาร์ทโฟนของ “หัวเว่ย”  ทำให้ #Huawei ติดอันดับเทรนด์ทวิตเตอร์ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารของคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของสมาร์ทโฟน “หัวเว่ย”  โดยเฉพาะในไทย #Huawei ไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในเบอร์ 1 ของเทรนด์ทวิตตั้งแต่เวลา 11.30 วันที่ 20 พ.ค. 2562  ขณะที่ทั่วโลกอยู่ในอันดับ 15 ด้วยยอดกว่า 3 แสนทวิต

รวมถึงบรรดาเว็บบอร์ดสาธารณะก็มีผู้ตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสมาร์ทโฟน “หัวเว่ย” อาทิ ห้องมาบุญครองในเว็บไซต์ pantip.com

แม้ล่าสุดในบัญชีทวิตเตอร์ทางการของ Android (@Android)  จะออกแถลงการณ์สั้นๆ หลังจากมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนหัวเว่ยสอบถามเข้ามาจำนวนมาก โดยยืนยันว่า จะยังคงให้บริการ Google Play และอัพเดตความปลอดภัยจาก Google Play Protect ให้กับอุปกรณ์ Huawei รุ่นปัจจุบัน

โดยระบุว่า “For Huawei users’ questions regarding our steps to comply w/ the recent US government actions: We assure you while we are complying with all US gov’t requirements, services like Google Play & security from Google Play Protect will keep functioning on your existing Huawei device.”

แต่ก็มีข้อสงสัยว่า แล้วสำหรับ สมาร์ทโฟนของ “หัวเว่ย” ที่จะออกวางจำหน่ายต่อไป จะมีอนาคตเช่นไรกับระบบปฏิบัติการ Android

ขณะที่เมื่อเร็วๆ นี้ “หัวเว่ย” ได้เปิดเผยว่า ยอดขาย สมาร์ทโฟน “หัวเว่ย” ทั่วโลก อยู่ที่กว่า 200 ล้านเครื่อง ทำรายได้ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 40% ขณะที่ในประเทศไทยหัวเว่ยมีรายได้เติบโต 60% พร้อมกับตั้งเป้าเติบโตในไทย 50% ในปีนี้ และที่ผ่านมาหัวเว่ยได้เปิดตัวสินค้าเรือธง “Huawei P30 Series” ที่มีจุดเด่นกล้องซูม 50 เท่า

ด้านผลสำรวจของบริษัทวิจัย IDC ระบุในผลวิเคราะห์ตลาดสมาร์ทโฟนไตรมาส 1 ปี 2562 ว่า  “หัวเว่ย” ได้ก้าวขึ้นสู่เบอร์ 2 ในฐานะผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเพียงรายเดียวที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของตลาดที่เห็นปริมาณการเติบโตในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้  ขณะที่ตลาดรวมสมาร์ทโฟนมีปริมาณการจัดส่งสินค้าลดลง 6.6%  โดยมีการเติบโตปีต่อปีที่ 50.3% มียอดจัดส่ง 59.1 ล้านเครื่อง และมีส่วนแบ่งการตลาด 19.0%  ทั้งยังมีความโดดเด่นอย่างต่อเนื่องจากการที่มีสินค้าครอบคลุมตลาดตั้งแต่ราคาถูกจนถึงไฮเอนด์

ขณะที่ก่อนหน้านี้ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ จำกัด ได้ออกแลงการณ์ถึงกรณีที่มีชื่อใน Entity List ว่า “หัวเว่ยไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของสำนักงานด้านอุตสาหกรรมและความปลอดภัย (BIS) กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกาการตัดสินใจนี้ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใดทั้งสิ้น และยังจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อบริษัทอเมริกาซึ่งหัวเว่ยทำธุรกิจด้วย รวมถึงตำแหน่งงานอีกหลายหมื่นตำแหน่ง ทั้งยังขัดขวางความร่วมมือที่ดำเนินอยู่และความไว้วางใจซึ่งกันและกันในระบบซัพพลายทั่วโลกอีกด้วย ทั้งนี้ หัวเว่ยจะหามาตรการเยียวยาโดยทันที รวมถึงทางออกในเรื่องนี้ โดยเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์นี้”