
รายงานข่าวจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ระบุว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 เมษายน 2563 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางตรวจเยี่ยมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) พร้อมทั้งมอบนโยบาย ณ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม อาคาร 20 ชั้น 8บมจ.ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข่าวปลอมในช่วงระยะหลังนี้ หลายข่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนที่อยู่ในภาวะหวั่นวิตกเกี่ยวกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและปากท้อง ดังนั้น อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของศูนย์ฯ ในสถานการณ์นี้ คือ การเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโควิด-19 เพื่อให้สังคมได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรง
และขอฝากอีกงานคือ การเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคม ควรจะเป็นการบรรจุหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อในโรงเรียนในการรู้เท่าทันข่าวปลอม อย่างมีวิจารณญาณไตร่ตรองก่อนการแชร์ต่อ เพื่อสร้างความสุขให้กับสังคมและประชาชนอย่างยั่งยืน
ด้านนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า 6 เดือนของการดำเนินงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม มีการรับแจ้งเบาะแสและติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอมทั้งหมด 5,904,637 ข้อความ คัดกรองแล้วเข้าเกณฑ์ที่ต้องตรวจสอบ 10,611 ข้อความ จำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 3,127 เรื่อง และได้รับการเผยแพร่แล้ว 565 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 399 เรื่อง ข่าวจริง 114 เรื่อง และข่าวบิดเบือน 52 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 7 : 2 : 1 ตามลำดับ
ขณะที่ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ตั้งแต่ 25 มกราคม-เมษายน 2563 ได้รับแจ้งเบาะแสและติดตามการสนทนาบนโลกออนไลน์ที่เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 2,428,621 ข้อความ เข้าเกณฑ์ที่ต้องดำเนินการ 2,870 ข้อความ คัดกรองแล้วพบว่ามีข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 821 เรื่อง โดยมีข่าวที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและเผยแพร่แล้ว 244 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 192 เรื่อง ข่าวจริง 24 เรื่อง และข่าวบิดเบือน 28 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 8 : 1 : 1 ตามลำดับ
น่าสังเกตว่าในช่วงที่มีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ข่าวปลอมส่วนใหญ่ที่มีการแพร่กระจายบนออนไลน์และโซเชียลหลักๆ กว่า 60% จะเป็นข่าวในกลุ่มนโยบายรัฐบาล /ข่าวสารทางราชการ/ความสงบเรียบร้อยของสังคม / ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ ขณะที่ข่าวกลุ่มสุขภาพซึ่งเคยครองพื้นที่ข่าวปลอม ลดสัดส่วนลงไปอยู่ที่กว่า 30%
สำหรับผลจากการทำงานอย่างทุ่มเทของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย มีการดำเนินคดีกับผู้สร้างข่าวปลอม ในช่วงที่ผ่านมาจึงเริ่มเห็นแนวโน้มกระแสและข่าวปลอมลดลงอย่างต่อเนื่อง