อีอีซีขยายนิคมทั้งปราจีนฯ ประชาพิจารณ์-เสร็จ ก.ย.

อุตสาหกรรม ปราจีนบุรี

“กพอ.” เดินหน้าดัน “ปราจีนบุรี” เป็น EEC จังหวัดที่ 4 ต่อจากฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง เล็งประกาศพื้นที่ทั้งจังหวัด เริ่มที่กบินทร์บุรี-ศรีมหาโพธิก่อน เพราะมีอุตฯอยู่แล้ว ก่อนไปถึงอำเภออื่น เผยรับฟังความคิดเห็นคนในพื้นที่แล้ว แต่ต้องทำอีก 4 ครั้ง ตั้งเป้าเสร็จภายใน ก.ย.นี้ ด้านสภาอุตฯ-สภาหอฯปราจีนบุรี กังวลเรื่องปัญหาน้ำ-มลพิษ แนะทำอุตฯสีเขียวคู่กับท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพราะเป็นจังหวัดที่ปลูกพืชสมุนไพร และผักผลไม้เกษตรอินทรีย์

อีอีซีลุยขยายถึงปราจีนบุรี

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือ EEC) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทางอีอีซีได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ไปแล้ว 1 ครั้ง โดยเป็นการแนะนำและชี้แจงเกี่ยวกับสิ่งที่อีอีซีกำลังจะดำเนินการ ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด หอการค้าจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานอื่น ๆ รับทราบ จากนี้จะต้องทำการรับฟังความคิดเห็นในส่วนของภาคประชาชนอีก 4 ครั้ง ซึ่งจะเริ่มอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2568 เพื่อที่จะสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นให้ได้ภายในเดือนกันยายน 2568

สำหรับการประกาศพื้นที่ส่วนขยายของอีอีซีนั้นจะประกาศทั้งจังหวัด แต่ในรายละเอียดของแต่ละอำเภอต้องกำหนดอุตสาหกรรมที่เหมาะสมให้ชัดเจน โดยใช้ พ.ร.บ.อีอีซี และสิทธิประโยชน์อีอีซี เช่นเดียวกันทั้งหมด เหมือนกับ 3 จังหวัดก่อนหน้านี้ คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

“ที่เราเริ่ม 2 อำเภอ คือ กบินทร์บุรี และศรีมหาโพธิ ก่อน เพราะมีอุตสาหกรรมลงทุนอยู่แล้ว จึงง่ายในการที่จะขยายการลงทุนใหม่เข้ามา แต่แน่นอนเราต้องประกาศทั้งจังหวัด ไม่ได้เลือกแค่ 2 อำเภอดังกล่าว ส่วนในพื้นที่อำเภออื่น เราจะทยอยทำ โดยต้องมากำหนดว่าอำเภอไหนมีศักยภาพ แล้วไปลงรายละเอียดว่าอุตสาหกรรมอะไรที่ควรไปลงทุน ครั้งแรกที่รับฟังความคิดเห็นไปแล้ว ส่วนใหญ่ในพื้นที่ก็เห็นด้วย” นายจุฬากล่าว

ขอความชัดเจนแผนบริหารน้ำ

ด้านนายธนกฤษ เตชะปัญญารักษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาภาคเอกชนเสนอให้เพิ่มจังหวัดปราจีนบุรีเป็นพื้นที่อีอีซี และเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อีอีซีมาเปิดประชาพิจารณ์ทั้งจังหวัด การเพิ่มจังหวัดปราจีนบุรีเป็นพื้นที่อีอีซี นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี จะทำให้จังหวัดเกิดการพัฒนาเมืองมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ต้องขอความชัดเจนในการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ 4 ประการ ได้แก่ 1.ปัญหาแหล่งน้ำ ปัจจุบันปราจีนบุรีใช้แหล่งน้ำจากแม่น้ำปราจีนบุรีและอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา เป็นหลัก หากดึงนิคมอุตสาหกรรมมาตั้งเพิ่ม เกษตรกรอาจได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับ จ.ชลบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา รวมถึงนิคมที่มีอยู่แล้วจะได้รับผลกระทบแน่นอน ดังนั้นจะมีแนวทางอย่างไรที่จะบริหารจัดการให้สามารถอยู่ร่วมกับประชาชนได้อย่างยั่งยืนมากที่สุด

ADVERTISMENT

กังวลมลพิษ-ปมค่าแรงสูง

2.ปัญหาเรื่องมลพิษ แม้ทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเข้มงวด และผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบโดยตรง หลายโรงงานมีทำรีไซเคิลตามใบอนุญาตโรงงาน ประเภท 105 และ 106 แต่ต้องไปตรวจสอบว่าได้ตามมาตรฐานหรือไม่ แม้ทางอีอีซีมีข้อกำหนดผลประโยชน์ที่นักลงทุนได้รับ แต่หากมีปัญหาเรื่องมลพิษในแหล่งน้ำอาจทำให้กระทบต่อความเสียหายต่อเศรษฐกิจ เพราะปราจีนบุรีมีเป้าหมายพัฒนาผลักดันเป็นเมืองแห่งพืชสมุนไพร

3.ปัญหาค่าแรง ถือเป็นอีกปัญหาสำคัญ เนื่องจากค่าแรงขั้นต่ำในเขตอีอีซีสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะค่าแรงคิดเป็น 30% ของต้นทุน 4.ปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 ที่การจราจรแออัด และผิวจราจรขรุขระยังไม่ได้รับการแก้ไข

เน้นเกษตรมูลค่าสูง-ท่องเที่ยว

“สำหรับกรณีที่มีเสียงบางส่วนสะท้อนว่าควรเน้นพื้นที่ส่งเสริมอีอีซีเพียงบางอำเภอ ไม่ต้องทำทั้งจังหวัด สภาอุตสาหกรรม จ.ปราจีนบุรี มีความกังวลต่อการบริหารจัดการโดยเฉพาะค่าแรง หากมีการแบ่งพื้นที่เพียง 2 อำเภอ จะมีแนวทางการบริหารค่าแรงกันอย่างไร ปัจจุบันอำเภอกบินทร์บุรี และศรีมหาโพธิ ทั้ง 2 อำเภอเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมอยู่แล้ว”

นายธนกฤษกล่าวอีกว่า ดังนั้นหากเป็นอีอีซีทั้งจังหวัด อำเภออื่น ๆ อาจเน้นไปทางด้านเกษตรมูลค่าสูง ส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำเพราะมีมูลค่าสูง แต่ถ้าหากเป็นอุตสาหกรรมรีไซเคิลอยากให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งในเร็ว ๆ นี้จะมีการสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น และจะหารือกับเลขาธิการอีอีซี และผู้ว่าฯอีกครั้งในเดือนพฤษภาคมนี้” นายธนกฤษกล่าว

อุตฯสีเขียวคู่เมืองสุขภาพ

นายสมบัติ สิทธิมงคล ประธานหอการค้าจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า เห็นด้วยกับการผลักดันจังหวัดปราจีนบุรีเป็นหนึ่งในอีอีซี เพื่อให้เกิดการเดินหน้าการพัฒนาทั้งจังหวัดอย่างยั่งยืน โดยมุ่งหวังให้เกิดการสร้างนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวให้อยู่ร่วมกับชุมชนได้ การนำอีอีซีเข้ามาจะช่วยส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้น ส่วนอำเภออื่น ๆ ที่มีการส่งเสริมด้านเกษตรทั้งทำนาปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกพืชสมุนไพรและภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร ถือเป็นพื้นที่ที่มีชัยภูมิที่เหมาะสม สามารถสร้างเมืองใหม่ให้เป็นเมืองสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness City) ได้ทั้งจังหวัด

“เห็นด้วยที่จะนำปราจีนบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดอีอีซี แต่ให้เน้นอุตสาหกรรมสีเขียวที่อยู่ร่วมกับชุมชนได้ ให้คนปราจีนมีงานทำ ไม่ต้องพลัดถิ่นไปทำงานที่อื่น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยขอให้แบ่งโซนนิ่งที่ชัดเจน ส่วน อ.กบินทร์บุรี และ อ.ศรีมหาโพธิ ที่ถือเป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมอยู่แล้ว เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราเป็นจังหวัดอีอีซีทีหลัง ถือเป็นความโชคดีที่เราจะได้นำบทเรียนต่าง ๆ ที่ 3 จังหวัดประสบปัญหามาเรียนรู้ และวางแผนป้องกัน” นายสมบัติกล่าว

ขอสิทธิ BOI นอกนิคม

นายสมมาตร ขุนเศรษฐ ในฐานะประธานกรรมการบริหาร บริษัท แพน เอเซีย ฟุตแวร์ จำกัด (มหาชน) อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในฐานะผู้ประกอบการสนับสนุนการเพิ่มปราจีนบุรีเป็นอีอีซี โดยไม่จำเป็นต้องประกาศครอบคลุมทั้งจังหวัด ให้ประกาศเพียง 2 อำเภอ (อ.กบินทร์บุรี อ.ศรีมหาโพธิ) ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมเดิมก็ได้ แต่หากประกาศทั้งจังหวัด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ควรให้สิทธิประโยชน์ครอบคลุมทั้งจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะในเขตนิคมอุตสาหกรรม

กังวลขยะพิษท่วมเมือง

นายสุนทร คมคาย ประธานเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ ต.เขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี และที่ปรึกษาสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ปราจีนบุรี จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันมีเครือข่ายสมาชิกที่ปลูกผัก ผลไม้ 185 ครัวเรือน อยู่ทั่วจังหวัดปราจีนบุรี (อ.กบินทร์บุรี อ.ศรีมหาโพธิ อ.นาดี อ.เมือง อ.ประจันตคาม) ส่งโรงครัวโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร, กลุ่มเกษตรอินทรีย์สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อส่งต่อให้ร้านเลมอนฟาร์ม

เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ทางสำนักงานอีอีซีส่งทีมวิจัยเข้ามาเปิดรับฟังความคิดเห็น ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นหน่วยราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 99% ตนมีคำถามว่า จะมาทำอะไรในจังหวัดปราจีนบุรี และชีวิตของประชาชนทั้งจังหวัดปราจีนบุรีจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพราะปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้งอยู่แล้วนับพัน และที่ทยอยเข้ามาตั้งนิคมใหม่ ๆ ส่วนใหญ่เป็นทุนจีนมาทำธุรกิจโรงหลอม โรงคัดแยกขยะพิษ ประเภท 105 และ 106 ซึ่งมีมลพิษสูงจำนวนมากอยู่แล้ว

แนะควรพัฒนาเชิงสุขภาพ

ที่ผ่านมา ปราจีนบุรีถูกวางตำแหน่งไว้เป็นหลังบ้านให้อีอีซี 3 จังหวัด รองรับขยะพิษต่าง ๆ มานานแล้ว จนติดอันดับจังหวัดที่มีมลพิษสูง รองจากจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งการปล่อยน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ หากเป็นจังหวัดที่ 4 ของอีอีซี มลพิษจะหนักขึ้นอย่างไร

อีกทั้งยังมีการนำขยะพิษจากประเทศจีนจำนวนมากเข้ามาหลอมในประเทศไทย โดยที่หน่วยราชการไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร เพราะการทำเกษตรอินทรีย์มีมาตรฐาน ต้องไม่ตั้งอยู่ใกล้แหล่งกำเนิดมลพิษ ทำให้มีความเสี่ยงในการผลิตอาหารปลอดภัย จึงอยากจะรู้ว่าวันนี้จุดยืนของจังหวัดปราจีนบุรีอยู่ตรงไหน

การพัฒนาจังหวัดต้องตั้งอยู่บนฐานทรัพยากรของจังหวัดด้วยจุดแข็งหลายเรื่อง ตอนนี้ภาพลักษณ์ของทุเรียน GI ส้มโอ GI มีการปลูกพืชสมุนไพร ในยุทธศาสตร์จังหวัดพูดถึงเรื่องเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness City) โดยจังหวัดปราจีนบุรีถือเป็น 1 ใน 4 จังหวัดเป้าหมายในการจัดตั้งเมืองสมุนไพรของกระทรวงสาธารณสุข มีพื้นที่ปลูกสมุนไพร ประมาณ 2,262 ไร่

รวมถึงมีอุทยานแห่งชาติ 2 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติทับลาน และเขาใหญ่ มีน้ำตก มีแหล่งวัฒนธรรมสมัยทวารวดี คือ เมืองศรีมโหสถ ที่ อ.ศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัด EEC ก็ได้ แต่ควรพัฒนาจากฐานเรื่องเหล่านี้หรือไม่