“เชียงใหม่ไบโอเวกกี้” ส่งออกผักอัดเม็ด

ตอบโจทย์ - บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด จ.เชียงใหม่ ส่งผักอัดเม็ดจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด ประเทศแถบตะวันออกกลาง และแอฟริกา หวังตอบโจทย์ประเทศที่ขาดแคลนพืชผลทางการเกษตร เล็งเติบโตกว่า 50%

“เชียงใหม่ไบโอเวกกี้” รุกอุตฯแปรรูปเกษตร ดันผักอัดเม็ดเข้าโมเดิร์นเทรด-โกอินเตอร์ ต่อยอดอาหารควบคุมน้ำหนัก-ผงผัก-ข้าวป็อป ส่งน้ำมะนาวแช่แข็งเจาะตลาดร้านอาหาร เล็งปี”61 เติบโต 50%

นางสาวนพสรณ์ พรทวีวัฒน์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแปรรูปผักและผลไม้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าทั้งหมด 16 เอสเคยู สินค้าหลักคือ ผักอัดเม็ด ประกอบด้วยผัก 12 ชนิด เช่น บีทรูต กะหล่ำปลีม่วง พาร์สเลย์ ปวยเล้ง ขึ้นฉ่ายฝรั่ง ฟักทองญี่ปุ่น แครอต ผักชีล้อม มะเขือเทศเชอรี่ บร็อกโคลี พริกหวาน และต้นหอมญี่ปุ่น โดยเจาะกลุ่มลูกค้าที่ไม่กินผัก ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องของการบดเคี้ยวและการย่อยอาหาร และแอร์โฮสเตส

ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนตลาดในประเทศอยู่ที่ 70% และต่างประเทศ 30% ซึ่งปี 2561 ตั้งเป้าการเติบโตประมาณ 50% แต่ทั้งนี้ต้องดูศักยภาพของบริษัทด้วย เนื่องจากยังคงเป็นเพียงเอสเอ็มอีเท่านั้น ด้านของกลยุทธ์การตลาดนั้นจะใช้การบอกต่อจากฐานลูกค้าเดิม และตลาดออนไลน์

ปัจจุบันกำลังการผลิตผักอัดเม็ดอยู่ที่ 100,000 เม็ด/วัน โดยวางจำหน่ายที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น, วัตสัน, เลมอนฟาร์ม, โกลเด้นเพลส, ลอว์สัน 108 ช็อป และแฟมิลี่มาร์ท รวมถึงส่งออกดูไบ โปแลนด์ และเตรียมส่งออกไปเกาหลีและตะวันออกกลาง ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคตะวันออกกลางและแอฟริกา ที่มีปัญหาเรื่องของทรัพยากรทางการเกษตร โดยผักอัดเม็ดจำหน่ายราคาซองละ 20 บาท เทียบเท่ากับการกินผัก 150 กรัม โดยได้รับรางวัลนวัตกรรมจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ

ทั้งนี้ ผลผลิตที่นำแปรรูป เป็นการคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่งจากโครงการหลวงในภาคเหนือทั้งหมด เนื่องจากโครงการมีมาตรฐานในการจัดการด้านการเกษตร การเก็บเกี่ยว และการปลูกผักปลอดสารพิษมาตรฐาน (good agricultural practice : GAP) ซึ่งเฉลี่ยรับซื้อผลผลิตจากโครงการประมาณ 50 ตัน/เดือน เมื่อรับซื้อผลผลิตแล้วจะนำเข้าสู่โรงงานแปรรูปที่ตั้งอยู่ที่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ทันที เพื่อไม่ให้ผักเสียคุณค่าทางอาหาร ขณะที่การแข่งขันในปัจจุบันค่อนข้างสูง มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ผลิตสินค้าลักษณะคล้าย ๆ กัน เนื่องจากการทำธุรกิจในปัจจุบันสามารถทำได้ง่าย แต่นวัตกรรมในการผลิตแตกต่างกัน โดยทางบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ผลิตโดยคนไทย

นางสาวนพสรณ์กล่าวว่า บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้แก่ กัมมี่ วี ซึ่งเป็นเยลลี่ กัมมี่รสชาติรวมผลไม้ 5 ชนิด ประกอบด้วย แครอต ฟักทอง มะเขือเทศเซเลอรี่ และบีทรูต มุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเด็ก รวมถึงเครื่องดื่มสมุนไพร 100% มีทั้งหมด 3 แบบ คือ ตรีผลา มะขามป้อม และผักเชียงดา รวมถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 3 ชนิด ได้แก่ แป้งข้าว เป็นลักษณะแป้งที่ย่อยช้า เหมาะกับการควบคุมน้ำหนัก เช่น ลูกค้ากลุ่มที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้สูงอายุที่ต้องควบคุมน้ำตาลในเลือด และผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์ผงผัก และผลิตภัณฑ์ข้าวป็อป ผลิตจากข้าว 2 ชนิด ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวกล้องหอมมะลิ ซึ่งรับซื้อจากเกษตรในกลุ่มภาคเหนือ

ขณะเดียวกันบริษัทยังได้แตกไลน์ธุรกิจ ออกผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคั้นสด 100% แช่แข็ง ภายใต้แบรนด์ “มะนีมะนาว” โดยรับซื้อมะนาวไร้เมล็ดจากเกษตรกรในพื้นที่ภาคกลาง เช่น จ.ราชบุรีและ จ.นครสวรรค์ รวมถึงมีสวนมะนาวเองด้วยที่จังหวัดราชบุรี โดยจะรับซื้อตามราคาในฤดูกาล ซึ่งหากไม่นำออกละลายสามารถเก็บได้นานถึง 2 ปี และหากละลายแล้วสามารถเก็บได้ประมาณ 3 เดือน โดยกลุ่มลูกค้าหลักคือ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ร้านอาหาร เชฟ โรงแรม ซึ่งปัจจุบันมีวางจำหน่ายที่แม็คโคร และแนวโน้มมีลูกค้าสนใจค่อนข้างมาก