MI GROUP เชื่อปี’65 เม็ดเงินโฆษณาโต 7.4% ทะลุ 8 หมื่นล้านบาท

มีเดียเอเยนซี่ MI GROUP เชื่อเศรษฐกิจโลก-ไทยดันเม็ดเงินสื่อโฆษณาโต 7.4% เป็น 81,813 ล้านบาท ก่อนปี’66 โตเพิ่มเป็น 8.5 หมื่นล้านบาท เดินหน้าปรับยุทธศาสตร์สลัดภาพมีเดียเอเยนซี่ มุ่งสู่เพื่อนคู่คิด-ที่ปรึกษาของลูกค้า แย้มเล็งผุดสาขาเวียดนาม กัมพูชา กวาดลูกค้าทั้งแบรนด์ไทย-อินเตอร์แบรนด์

วันที่ 27 ตุลาคม 2565 นายภวัต เรืองเดชวรชัย, PRESIDENT & CEO, MI GROUP มีเดียเอเยนซี่ในเครือ Hakuhodo และ Far East Fame Line DDB กล่าวว่า เม็ดเงินสื่อโฆษณาปีนี้จะเติบโตได้ถึง 7.4% คิดเป็นมูลค่ารวมที่ 81,813 ล้านบาท

แบ่งเป็นสื่อ TV 37,598 ล้านบาท, Internet 26,623 ล้านบาท, Out of Home 10,105 ล้านบาท, Radio 2,656 ล้านบาท, Cinema 2,462 ล้านบาท และอื่น ๆ รวม 2,369 ล้านบาท (Newspapers และ Magazines)

หลังช่วงมกราคม-กันยายน 2565 นั้นตามข้อมูลจาก Nielsen และ DAATการใช้สื่อโฆษณาคิดเป็นมูลค่ารวม 60,739 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.86% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564 โดยแบ่งเป็นสื่อ TV 24,864 ล้านบาท, Internet 19,816 ล้านบาท, Out of Home 7,593 ล้านบาท และสื่ออื่น ๆ รวม 5,466 ล้านบาท (Cinema, Magazines, Newspapers และ Radio)

ส่วนในปี 2566 มีการประมาณการไว้ว่า มูลค่าการใช้สื่อจะเพิ่มขึ้นเป็น 85,220 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 4.2% แบ่งเป็นสื่อ TV 44.6%, Internet 33.2% และ Out of Home 13.5% และสื่ออื่น ๆ รวม 8.7%

การเติบโตนี้เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรวมถึงไทย ซึ่งส่งสัญญาณดีในหลากหลายอุตสาหกรรม และยังมองเห็นกระแสการเติบโตด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มขยับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะที่ธุรกิจไทยหลายราย เริ่มมีความต้องการที่จะกลับไปทำการตลาดและสื่อสารการตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบเซาท์อีสต์เอเชียและมิดเดิลอีสต์

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแนวโน้มเติบโตแต่ การทำธุรกิจจะท้าทายยิ่งขึ้นทั้งด้วยการแข่งขันที่จะดุเดือด รวมถึงแนวทางการทำธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและซับซ้อนมากขึ้น หลังถูกดิสรัปในช่วงโควิด-19 ระบาด จึงเชื่อว่าแบรนด์ต่าง ๆ จะต้องการโซลูชั่นในการสื่อสารและทำการตลาดมากขึ้น

ทำให้ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2565 นี้ MI GROUP มุ่งสู่การเป็นเพื่อนคู่คิดและเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้า ด้วยจุดแข็งในสร้างโซลูชั่นการตลาด จากข้อมูลและเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดใหม่ ๆ จาก MI Learn Lab โดยเน้นการทำงานอย่างใกล้ชิดและมีส่วนร่วมในการสร้างยอดขายรับมือการแข่งขันดุเดือด

พร้อมกันนี้ยังเพิ่มความเข้มข้นในการรุกตลาดต่างประเทศ ด้วยการการกำหนดนโยบายการทำตลาดต่างประเทศในเชิงรุก มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบรนด์ไทยให้มากยิ่งขึ้นด้วย ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานจาก Media Intelligence CLMV เป็น MI Bridge

ด้านนายวิชิต คุณคงคาพันธ์ Head of International Business Development, MI GROUP อธิบายว่า MI Bridge ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อขยายการบริการให้ครอบคลุมแบรนด์ไทยในตลาดต่างประเทศ รวมถึงขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปยังแบรนด์ข้ามชาติและแบรนด์ท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ

ในอนาคตจึงอาจมีการก่อตั้ง MI Vietnam, MI Cambodia และที่ผ่านมา MI Myanmar แข็งแกร่งพอที่จะรองรับแบรนด์ไทย, แบรนด์ข้ามชาติ และแบรนด์ท้องถิ่นของเมียนมาจำนวนมากได้

โดยมีกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ โดยเฉพาะแบรนด์ไทยในระดับ Big Company มีอยู่ด้วยกัน 2 แนวทาง คือ
1) การเข้าร่วมสมาคมนักธุรกิจไทยในประเทศต่าง ๆ เพื่อเข้าไปแนะนำตัว พร้อมนำเสนอแนวคิดในเชิงสังสรรค์ การแชร์ความรู้ และข้อมูลทางธุรกิจต่าง ๆ เพื่อต่อยอดกันไปมา
2) สร้างผลงาน สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบอกต่อ (Word of Mouth) กันโดยอัตโนมัติ

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา MI GROUP มีการเติบโตทางด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2564 ในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นผลจากความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วของ MI GROUP ต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงและผันผวนอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ ที่เป็น New S-Curve เช่น Content Ownership Business, International Business Expansion ให้กับลูกค้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ของไทย ควบคู่การพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง