
ช่อง 3 เร่งปั๊มรายได้ ส่งละครใหม่ “พรหมลิขิต-เกมรักทรยศ” โกยเรตติ้งต่อจาก “หมอหลวง” พร้อมทุ่มงบฯ 2-3 พันล้านผลิตละครใหม่ 25 เรื่องต่อปี ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตคอนเทนต์ เพิ่มความเข้มข้นขายลิขสิทธิ์ละครไปต่างประเทศ ตั้งเป้าสิ้นปีโตดับเบิลดิจิต
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายธุรกิจโทรทัศน์ สำนักผู้บริหาร บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของของบริษัทอาจจะไม่ค่อยดีนักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยในแง่รายได้อยู่ที่ 995.9 ล้านบาท ลดลง 245 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 19.7% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และมีกำไร 3.7 ล้านบาท หรือลดลง 97%
- หวั่น EV ไทย…ซ้ำรอยจีน
- “ทรู-ดีแทค” ถล่มโปร “คืนค่าเครื่อง” ย้ำรวมกันได้มากกว่า
- เปิด “ผังน้ำ” ประกบผังเมือง เขย่าราคาที่ดินทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกและภาวะเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนและการใช้จ่าย จากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ส่งผลให้หลายธุรกิจชะลอใช้เม็ดเงินโฆษณา โดยเม็ดเงินโฆษณาในสื่อโทรทัศน์มีการปรับตัวลดลง 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา
“ไตรมาสแรกเราได้นำละครเก่ามารีรัน และเลื่อนออกอากาศละคร ‘หมอหลวง’จากเดิมที่จะออกอากาศในไตรมาสแรก มาเป็นไตรมาส 2 เนื่องจากดีมานด์ในอุตสาหกรรมมีไม่มาก และเป็นการลดต้นทุน ทำให้ไตรมาสแรกรายได้จากละครลดลง”
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในไตรมาส 2 บริษัทจะกลับมามีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตดับเบิลดิจิต ส่วนหนึ่งจะมาจากละคร “หมอหลวง” ที่ผลการตอบรับค่อนข้างดี สะท้อนจากเรตติ้งที่สูงถึง 6.7-6.8 ในทุกตอนที่ออนแอร์ ซึ่งนับเป็นละครเรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จในรอบ 3 ปีของช่อง 3 รวมถึงยังได้รายการข่าวที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง อย่างช่วงดีเบตระหว่างพรรคการเมืองที่สามารถดึงเรตติ้งผู้ชมได้มากกว่าช่องอื่น อีกทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาก็ทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ทำให้ห้างร้านซึ่งเป็นลูกค้าช่อง 3 ใช้งบฯโฆษณามากขึ้น
นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังยังมีแผนจะส่งละครใหม่ที่คาดหวังว่าจะมีเรตติ้งเหมือนหมอหลวง อย่างพรหมลิขิต (บุพเพสันนิวาส 2) และเกมรักทรยศ ที่เป็นการนำพลอตเรื่องจากต่างประเทศมาทำใหม่ในเวอร์ชั่นไทย นอกจากนี้ ก็ยังมีภาพยนตร์ที่ปีนี้จะสร้าง 3-4 เรื่อง และจะออกฉายในโรงภาพยนตร์ 2 เรื่องในไตรมาส 3 และ 4 จากปีก่อนออกฉาย 1 เรื่อง
“ปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้เป็นดับเบิลดิจิต จากปีก่อนที่มีรายได้ 5,115 ล้านบาท และเชื่อว่าหลังความชัดเจนทางการเมืองในไตรมาส 3 ทั้งการจัดตั้งรัฐบาล นโยบายรัฐบาล รายได้ก็ยังโตได้ 8-9%”
นายสุรินทร์กล่าวต่อว่า แนวโน้มในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า คาดว่ารายได้จากการขายเวลาโฆษณาจากสื่อโทรทัศน์จะลดลงมาที่ 70% จากปัจจุบันรายได้จากทีวีเป็นหลัก 85-88% ขณะที่รายได้จากสื่อดิจิทัล เช่น 3 plus, YouTube, Facebook, TikTok รวมถึงการขายลิขสิทธิ์ไปต่างประเทศ (GCL) มีสัดส่วนรวมกัน 12-15% จะเพิ่มมากขึ้นเป็น 25% และอีก 5% จะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างเอง โดยใช้ศิลปินของช่อง 3 ร่วมแสดง รวมถึงธุรกิจเพลงที่ใช้ศิลปินช่อง 3
ในส่วนละคร ได้วางงบฯลงทุนสร้างละครปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท หรือประมาณปีละ 25 เรื่อง โดยแนวโน้มจะทำละครแนวโมเดิร์นมากขึ้น จากที่ทำละครจากนวนิยาย ก็จะเพิ่มมาทำละครที่ซื้อลิขสิทธิ์จากละคร หรือซีรีส์ต่างประเทศมาทำในเวอร์ชั่นไทย ซึ่งการทำละครลักษณะนี้จะสามารถรู้ว่าควรจะขายโฆษณาอย่างไร และสามารถวางแผนการขายโฆษณาได้ง่าย รวมถึงจะนำดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่อเนื่องได้ ก็จะถือเป็นการบริหารศิลปินในค่ายด้วย
นอกจากนี้ จะจ้างทีมเขียนบทละครหาพลอตละครได้เอง ซึ่งจะทำให้ละครมีความทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งละครที่ผลิตออกมาก็จะมีการนำไปออกอากาศผ่านช่อง 3, 3 Plus, 3 Plus Premium ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสมาชิก 3 แสนราย โดยไตรมาส 2 คาดมีจำนวน 1 แสนราย จากปัจจุบัน 7-8 หมื่นราย รวมทั้งผ่านสตรีมมิ่งอื่น เช่น Netflix ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของบริษัท รวมถึงขายลิขสิทธิ์ละครไปต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันกระจายไป 20-30 ประเทศ
“ถ้าเน้นทำทีวีอย่างเดียวคงไม่มีทางรอด เพราะฉะนั้นทางรอดของเราก็คือการทำให้คอนเทนต์ เป็นคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ลงทุนครั้งเดียว แต่เราสามารถขายได้หลาย ๆ แพลตฟอร์ม ขณะที่วิธีการถ่ายทำ วิธีการนำเสนอ วิธีการหารายได้ก็จะเปลี่ยนไป เขียนบทให้พร้อมก็จะขายสปอนเซอร์ได้ง่าย ถ้าทำได้ทั้งหมดก็จะเป็นทางรอดได้” นายสุรินทร์กล่าว