“ซัมซุง” ชูระบบ AI สู้ค่าไฟแพง ตอบโจทย์ครัวเรือน-องค์กรลดค่าใช้จ่าย

ซัมซุง ระบบ AI ค่าไฟแพง

ซัมซุง ชิงจังหวะค่าไฟแพงทั้งแผ่นดินงัดนวัตกรรม AI เสริมแกร่งฟังก์ชั่นประหยัดพลังงาน ชิงตอบโจทย์ทั้งลูกค้าครัวเรือน-องค์กร พร้อมผนึกพันธมิตรอสังหาฯ-ค้าปลีกต่อยอดฟังก์ชั่นสมาร์ทโฮม หวังขยายอีโคซิสเต็มข้ามกำแพงเครื่องใช้ไฟฟ้า ลั่นเดินหน้าขยายไลน์สินค้าสมาร์ท-AI ต่อเนื่องยันสิ้นปี

ค่าไฟที่แพงขึ้นต่อเนื่อง หลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2566 เป็น 98.27 สตางค์ต่อหน่วย รวมเป็นค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายเฉลี่ย 4.77 บาท/หน่วย ซึ่งสูงขึ้นจากงวด ม.ค.-เม.ย. 2566 ที่จ่ายอยู่ 4.72 บาท/หน่วย นับเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสของบรรดาแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องเร่งหาเทคโนโลยี-นวัตกรรมมาช่วยให้สินค้าของตนประหยัดไฟมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้เป็นจุดขายชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

ซัมซุง หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของวงการ งัดนวัตกรรมใหม่ AI energy mode หรือระบบประหยัดพลังงานด้วย AI มาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มที่กินไฟมากไม่ว่าจะเป็นแอร์ เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้าและตู้เย็น โดยไม่เพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนเท่านั้น แต่ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเกาหลียังใช้นวัตกรรมเป็นหนึ่งในหัวหอกเจาะเข้าชิงลูกค้าองค์กรทั้งกลุ่มค้าปลีกและผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยอีกด้วย

นางสาวอภิรดี พหลเวชช์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจเครื่องปรับอากาศ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันการประหยัดไฟขึ้นแท่นเป็นเงื่อนไขอันดับ 1 ที่ผู้บริโภคไทยพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแซงหน้าแชมป์เก่าอย่างปัจจัยราคาที่ตกไปเป็นอันดับ 2 โดยเฉพาะช่วงการเลือกซื้อแอร์ในหน้าร้อนที่ผ่านมา

สะท้อนจากการเก็บฟีดแบ็กจากพนักงานขายในจุดจำหน่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าเทรดิชั่นนอลเทรด หรือโมเดิร์นเทรด ซึ่งต่างระบุว่าช่วงที่ผ่านมามีผู้บริโภคเข้ามาสอบถามถึงความสามารถในการประหยัดไฟของสินค้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าหลังจากนี้ราคาค่าไฟจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ต้องใช้ไฟฟ้าปริมาณมากในการทำงานด้วย เช่น เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าซึ่งมีทั้งมอเตอร์และการทำความร้อน

“ฟังก์ชั่นประหยัดไฟช่วยสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจหลายด้าน ทั้งช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ทำให้พนักงานขายหน้าร้านปิดการขายได้ง่ายขึ้น และยังตอบโจทย์ลูกค้าองค์กร เช่น วงการอสังหาฯ ที่มีความตื่นตัวเรื่องการลดใช้พลังงาน อย่างโครงการบ้านเบอร์ 5 ที่ กฟฝ.พยายามผลักดัน ซึ่งผู้พัฒนาหรือผู้ซื้อบ้านที่มีเทคโนโลยีประหยัดพลังงานจะได้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพิ่มเติม”

ต่อยอดฟังก์ชั่น AI รุก B2B

ผู้บริหารซัมซุงกล่าวว่า เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภคและชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงย้ำจุดยืนด้านการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน ทำให้บริษัทตัดสินใจต่อยอดนวัตกรรมระบบประหยัดพลังงานด้วย AI หรือ AI energy mode ซึ่งสามารถควบคุมระดับการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม SmartThings ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานโดยอัตโนมัติ เช่น อุณหภูมิแอร์-ตู้เย็น โหมดการซัก-อบของเครื่องซักผ้า ซึ่งบริษัทนำมาเปิดตัวในไทยเป็นประเทศแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปลายปี 2565 ที่ผ่านมา

ด้วยการขยายฟังก์ชั่นการทำงานและไลน์อัพสินค้าที่รองรับ ให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและกลุ่มธุรกิจ ซึ่งต่างกำลังต้องการโซลูชั่นที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน รวมถึงจุดขายด้านความประหยัดสำหรับงานโครงการของตน

โดยนอกจากการใช้งานในสินค้าสำหรับครัวเรือนแล้ว ระบบ AI นี้ยังรองรับการใช้งานกับสินค้าเชิงพาณิชย์ด้วย ซึ่งขณะนี้บริษัทร่วมมือกับผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ และผู้ประกอบการในหลายธุรกิจ นำฟังก์ชั่นนี้ไปใช้กับอุปกรณ์ด้านพลังงานอื่น ๆ เช่น โซลาร์เซลล์ และมิเตอร์ไฟแบบสมาร์ท เป็นต้น รวมถึงขยายขอบเขตการใช้งานระบบ SmartThings ให้ครอบคลุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีใช้งานในครัวเรือน อาทิ ระบบความปลอดภัย และระบบอัตโนมัติ

เช่นเดียวกับการทดลองใช้งานอื่นๆ building IOT ซึ่งเป็นระบบคล้ายกับสมาร์ทโฮม แต่สำหรับใช้ในระดับองค์กร สามารถติดตาม-ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ รวมถึงแจ้งเตือนการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิแบบผิดปกติ ทั้งในอาคารแห่งเดียว หรือหลายแห่งได้พร้อมกัน อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับระบบ SmarThings และระบบบริหารจัดการอาคารที่ลูกค้าใช้งานอยู่แล้วก็ได้ โดยอยู่ระหว่างทดสอบร่วมกับเชนร้านสะดวกซื้อรายหนึ่งและกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ

โหมทำตลาดสปีดหนีคูแข่ง

นางสาวอภิรดีกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันเริ่มมีคู่แข่งที่มีเทคโนโลยีคล้ายกันปรากฏขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งบริษัทจะรับมือด้วยการทำการตลาด สื่อสารจุดแข็งด้านความยืดหยุ่นของแพลตฟอร์ม SmartThings ที่เป็นแพลตฟอร์มเปิดสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ได้หลากหลาย โดยการสื่อสารจะเน้นทั้งสร้างการรับรู้และให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ ทั้งทางออฟไลน์-ออนไลน์ พร้อมวางแผนร่วมกับร้านค้าและโมเดิร์นเทรดเพื่อเดินสายจัดอีเวนต์ในช่วงครึ่งปีหลัง

นอกจากนี้ ยังพยายามสื่อสารผ่านภาครัฐอีกด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาภาครัฐมีการสื่อสารเรื่องการประหยัดพลังงานกับประชาชนต่อเนื่องอยู่แล้ว จึงพยายามเจรจาถึงความเป็นไปได้ในการนำเสนอเทคโนโลยีนี้เป็นอีกตัวเลือกให้ผู้บริโภคใช้เพื่อประหยัดไฟ

เช่นเดียวกับการฝึกอบรมพนักงานขายเกี่ยวกับการนำเสนอฟังก์ชั่น AI นี้ ควบคู่กับฟังก์ชั่นสมาร์ทอื่น ๆ และยังมีการพูดคุยกับภาครัฐ 2-3 หน่วยงาน เกี่ยวกับการนำระบบนี้ไปใช้ในด้านต่าง ๆ อีกด้วย

“จากผลการทดสอบของ Intertek และการทดสอบจากห้องปฏิบัติการของซัมซุง ในห้องขนาด 68.04 ลบ.ม เปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 23 องศาเซลเซียส พบว่า AI energy mode สามารถประหยัดค่าไฟได้สูงสุด 20% ต่อปี นอกจากนี้ ในระบบ AI energy mode ผู้ใช้จะสามารถตั้งค่าไฟโดยรวมของแต่ละเดือนได้ จากนั้น AI จะปรับการทำงานของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่เพื่อให้ใช้พลังงานไม่เกินค่าไฟที่ตั้งไว้ โดยเรียนรู้การใช้งานของผู้บริโภค เช่น เปิดแอร์ช่วงไหน อุณหภูมิเท่าใด ซักผ้าโหมดไหน ฯลฯ”

ขยายไลน์สินค้า AI ต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จองฮี ฮาน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายสร้างประสบการณ์ลูกค้าของซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ประเทศเกาหลีใต้ ยังกล่าวในงาน Bespoke ซึ่งเป็นงานแสดงวิสัยทัศน์ประจำปีของซัมซุงว่า บริษัทจะขยายพื้นที่การให้บริการต่าง ๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น โดยนำเสนอเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านกลุ่ม Bespoke ใหม่ 5 กลุ่มที่มีระบบ AI energy mode รุ่นอัพเกรด ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องปั่นผ้า เครื่องล้างจาน เครื่องปรับอากาศ และระบบทำความร้อน Ecoheating system ซึ่งจะสามารถใช้งานได้ในประเทศต่าง ๆ 65 ประเทศในอนาคตอันใกล้อีกด้วย

โดยเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่ม Bespoke ทุกรุ่นนับจากนี้จะรองรับการเชื่อมต่อ WiFi ทำให้สามารถใช้งานแพลตฟอร์ม SmartThings และเทคโนโลยี AI เพื่อการทำงานแบบอัตโนมัติและไร้รอยต่อ โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ จะสามารถเรียนรู้รูปแบบการใช้งานของผู้ใช้ และนำเสนอโหมดการทำงานอัตโนมัติตามรูปแบบการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน โดยอ้างอิงจากการตั้งค่าด้านสมาร์ทโฮมและรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้ใช้ ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านซีรีส์อื่น ๆ จะรองรับการเชื่อมต่อ WiFi เป็นคุณสมบัติมาตรฐานในอนาคตอันใกล้เช่นกัน