‘แกรมมี่’ Spin-Off ‘จีเอ็มเอ็ม มิวสิค’ เข้าตลาด พลิกธุรกิจเพลงครั้งใหญ่

จีเอ็มเอ็ม มิวสิค พร้อม Spin-Off เข้าตลาด ระดมทุนสร้าง New Music Economy เพื่อพลิกธุรกิจเพลงครั้งใหญ่ ตั้งเป้าปี 2566 สร้างรายได้ 3,800 ล้าน พร้อมเดินหน้าสู่การสร้างผลประกอบการแบบ New High ภายในปี 2567

วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม มิวสิค กล่าวว่า หลังจากอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกในยุคดิจิทัลกลับมาเติบโตถึงจุดที่เรียกว่า Music Second Wave  มียอดรายได้ “ทะลุจุดสูงสุดที่เคยสร้างไว้ในอดีต” หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “อุตสาหกรรมเพลงได้กลับมาสู่จุดรุ่งเรืองสูงสุดอีกครั้งและกำลังเติบโตขึ้น”

ซึ่งจากตัวเลขคาดการณ์รายรับ (World Business Projection) อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกจะเติบโตอีกเป็น “เท่าตัว” ภายในปี 2030 ปัจจัยหลักมาจาก 2 ปัจจัย คือ 1.การเติบโตของธุรกิจ Digital Streaming และ 2.การเติบโตของธุรกิจ Showbiz

นายภาวิต จิตรกร

“ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เราเดินทางสร้างตลาด เปลี่ยนผ่านจากความเป็น Music Company สู่ Music Infrastructure จนวันนี้เราจะเดินหน้าสู่การเป็น New Music Economy ที่จะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นเลิศให้กับทุกคนในอุตสาหกรรมเพลงไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

ทั้งนี้ บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (GMM MUSIC) ซึ่งเป็น Flagship Company ของกลุ่มจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ในการดำเนินธุรกิจเพลงแบบครบวงจร การ Spin-Off เข้าตลาด เพื่อระดมเงินทุนสร้างการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมเพลงภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Music Economy” โดยเงินลงทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ เพื่อการขยายธุรกิจหลายส่วน โดยมี 7 ยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจดังนี้

1.Double Up Production

ขยายการผลิต เป็นอีกเท่าตัวจากการผลิตในปัจจุบัน โดย GMM MUSIC มีแผน “จะเพิ่มการผลิต”

– เพลงจาก 400 เพลงต่อปี เป็น 1,000 เพลงต่อปี

– ศิลปินจาก 120 ศิลปิน เป็น 200 ศิลปินภายใน 5 ปี

– Playlist เข้าสู่ Streaming Platform จาก 3,000 Playlists เป็น 6,000 Playlists ต่อปี

– Full Album จาก 30 อัลบั้มต่อปี เป็น 50 อัลบั้มต่อปี

– ศิลปินฝึกหัดจาก 150 ศิลปิน เป็น 300 ศิลปินต่อปี

 2.Showbiz Expansion

ขยาย Scale ของ Music Festival ที่ครอบคลุมสูงสุดทั่วประเทศ สู่การรองรับจำนวนผู้ชมซึ่งจะมากกว่า 500,000 คนต่อปี ด้วยความตั้งใจร่วมมือกับทุกค่ายเพลง พร้อมต่อยอดแหล่งรายได้ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว กวาดรายได้ทั้งในประเทศ และจากต่างประเทศ

ในขณะที่ Arena Concert นอกจากจะมี Line Up ที่ครอบคลุมตั้งแต่ศิลปินยุคแจ้งเกิดของบริษัทจนถึงศิลปินยุคปัจจุบัน GMM MUSIC จะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งใน และต่างประเทศในการขยาย Segment เดินหน้าสู่การเป็นผู้จัด International Fan Meeting & Concert อย่างเป็นรูปธรรม และพร้อมจับมือกับ Promoter เจ้าต่าง ๆ ใน Southeast Asia เพื่อการขยายตัว

3.Local Alliance

ขยายพันธมิตรทางดนตรี ร่วมจับมือกับค่ายเพลงในประเทศไทย ผ่านการ M&A (Mergers & Acquisitions) หรือ JV (Joint Venture) เพื่อสร้าง Synergy Value ในการขยายการผลิต และการเติบโตทางธุรกิจทุกช่องทาง โดยสามารถสร้างการขยายตัวได้ทั้งในเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ พร้อมการสร้างรายได้ที่มากขึ้น

4.Global Strategic Partner

ขยายการจับมือกับบริษัทชั้นนำในต่างชาติผ่านการ JV (Joint Venture) เพื่อการสร้างงานเพลง และส่งเสริมศิลปินไทย เดินหน้าสู่ศักยภาพ และมาตรฐานใหม่ในระดับสากล (Thailand Soft Power)

ซึ่งการเดินหน้าจับมือในครั้งนี้ บริษัทได้วางแผนที่จะจับมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้นำในภูมิภาคต่าง ๆ (Global Leader) เช่น สหรัฐอเมริกา, สแกนดิเนเวีย, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านในแถบ Southeast Asia

ซึ่งการเดินหน้า JV ต่าง ๆ นี้จะคล้ายคลึงกับการ JV ของ GMM MUSIC กับบริษัท YG Entertainment ในการจัดตั้ง JV YGMM เพื่อคัดสรร และผลิตศิลปินไทยป้อนสู่ระดับสากลที่ได้เกิดขึ้นแล้ว

5.Media Networking

ขยายวงล้อมการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพในทุกรูปแบบ และทุกช่องทางการสื่อสารผ่านการสร้าง Partnership Deal หรือ JV เพื่อแลกเปลี่ยนศักยภาพทางธุรกิจที่ต่อยอดได้ไม่รู้จบทั้งสื่อทางด้าน On Air  On Board Online และ On Ground ส่งเสริมการ Promote ศิลปินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

 6.Data Intelligent

ขยายศักยภาพการบริหารจัดการข้อมูล Big Data ผ่านการลงทุนเพิ่มด้าน Data Scientist Machine Learning และระบบ AI พร้อมสร้าง Tools ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ทั้งในเชิงการค้า การบริหารจัดการ และการพัฒนาศิลปิน รองรับธุรกิจแห่งอนาคตที่ให้ความสำคัญด้าน Personalization Offering

7.New World Talent

ขยายทีมงานแห่งอนาคตด้วยการลงทุนในบุคลากรรุ่นใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความเชี่ยวชาญใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเติมเต็ม สืบทอด ต่อยอด รองรับการก้าวไปข้างหน้าของธุรกิจเพลง

นายภาวิต จิตรกร กล่าวปิดท้ายว่า บริษัทตั้งประมาณการที่จะสร้างรายได้ที่ 3,800 ล้านบาท ในปี 2566 นี้ และพร้อมที่จะเดินหน้าสู่การสร้างผลประกอบการแบบ New High ภายในปี 2567 ที่จะถึงนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของ New Music Economy ยังมีฉากทัศน์อีกมากมายที่จะเกิดขึ้นภายใต้การ Spin-Off ของ GMM MUSIC ในครั้งนี้

ปัจจุบัน GMM MUSIC มีแหล่งรายได้จาก 5 แหล่งธุรกิจ (อ้างอิงจากรายได้ 12 เดือนย้อนหลังของธุรกิจเพลง นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 ถึงไตรมาส 1 ปี 2566) ดังนี้

  1. Music Digital Business รายได้ 1,152 ล้านบาท สัดส่วน 34%
  2. Music Artist Management Business รายได้ 1,177 ล้านบาท สัดส่วน 35%
  3. Showbiz Business รายได้ 678 ล้านบาท สัดส่วน 20%
  4. Right Management Business รายได้ 234 ล้านบาท สัดส่วน 7%
  5. Physical Business รายได้ 147 ล้านบาท สัดส่วน 4%

‘แกรมมี่’ Spin-Off ‘จีเอ็มเอ็ม มิวสิค’