เป็นการเปิดแถลงข่าวครั้งใหญ่ในรอบปีเลยก็ว่าได้ สำหรับการพบปะสื่อมวลชน ของ “คุณแป๋ม ชฎาทิพ จูตระกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหาร สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (13 ก.ย.) เป็นการตอกย้ำความเป็น Global Destination ของประเทศ และกลยุทธ์การดำเนินงานในช่วงไตรมาสสุดท้าย และแนวทางการดำเนินงานในปีหน้า
ทุ่มพันล้านดึงนักท่องเที่ยว
“คุณแป๋ม ชฎาทิพ” กล่าวว่า “…วันนี้ประเทศมีรัฐบาลใหม่แล้ว และถือว่าประเทศมีความชัดเจนที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า ซึ่งประเทศไทย 1 ในประเทศที่คนทั่วโลกอยากมาเที่ยวเยี่ยมชมมากที่สุด ขณะที่ กรุงเทพฯ เองก็ได้รับการโหวตครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเป็น Best Destination of The World
ในฐานะภาคเอกชนก็รู้สึกดีใจที่รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และเอกชนก็มีภารกิจที่จะต้องทำให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยมากถึง 30 ล้านคนในสิ้นปีนี้ ตามที่รัฐบาล และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกาศไว้”
ซีอีโอกลุ่มสยามพิวรรธน์ย้ำว่า ในฐานะที่สยามพิวรรธน์ เป็นผู้พัฒนา global destination อันดับ 1 ของประเทศ วันนี้มีความพร้อม และจะทุ่มสุดตัวในไตรมาสสุดท้ายนี้ ทั้งงบประมาณ ทุกสรรพกำลัง ที่จะสร้างสรรค์ประสบการณ์อันเยี่ยมยอดให้เกิดขึ้น ผ่าน 40 เวิลด์คลาสอีเวนต์ ใน 5 ศูนย์การค้า ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท
ซึ่งภารกิจที่ทำมาโดยตลอด คือ Win The World for Thailand (อัตลักษณ์ไทยชนะใจคนทั้งโลก) เพื่อดึงดูดคนทั่วโลกให้เข้ามาที่ประเทศไทย โดยช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ทั้ง 5 ศูนย์การค้า มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 14 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20-25% ของทราฟฟิกโดยรวมของ 5 ศูนย์ เพื่อตอกย้ำการเป็น global destination ของประเทศ
สยามพิวรรธน์ จะเน้นการดำเนินกลยุทธ์ใน 4 เรื่องหลัก ๆ ดังนี้ การนำเสนอประสบการณ์อันเยี่ยมยอดของการช็อปปิ้ง (extraordinary shopping experiences) ยกตัวอย่าง สยามพารากอน ไตรมาสสุดท้ายนี้จะมี luxury brands ใหม่ 20 ร้านเข้ามาเปิด และปีหน้ามีแผนจะขยายพื้นที่ luxury brands ทั้งในสยามพารากอน และไอคอนสยาม เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว เพื่อให้เป็น Iconic Store ที่ใหญ่ที่สุด และนำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เหมือนที่อื่น ๆ
นอกจากนี้ ทุกศูนย์การค้าก็จะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โปรโมชั่นทุกรูปแบบ มีการจัดอีเวนต์ร่วมกับ luxury brands และ international brands
ไตรมาสสุดท้ายนี้ จะมีการจัดกิจกรรมใหญ่ในทุกศูนย์การค้ารวม 40 กิจกรรม ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท ไฮไลต์อยู่ที่งานเคานต์ดาวน์ ที่ไอคอนสยาม และจะมี 2 งานใหญ่ในช่วงเดือน พ.ย. ในวาระครบรอบ 5 ปีของไอคอนสยาม
ส่วนในปีหน้านี้จะมีกิจกรรมถึง 40 กิจกรรม ที่เป็นกิจกรรมระดับโลกร่วมกับร้านค้าคู่ค้า เพื่อที่จะให้ประสบการณ์ของคำว่า luxury shopping experiences เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ในศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์
ดัน Soft Power สู่เวทีโลก
“คุณแป๋ม” ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถัดไปเป็นเรื่องของการจัด World Class Event และการประชุมระดับโลก โดยทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) และภาคเอกชนต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ ที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก โดยมี รอยัล พารากอนฮอลล์ (สยามพารากอน) ทรูไอคอนฮอลล์ (ไอคอนสยาม) เป็นสถานที่รองรับ
ซึ่งปีนี้ทั้ง 2 ฮอลล์ได้มีการจัดงานไปแล้วกว่า 40 กิจกรรม สามารถดึงทราฟฟิกเข้ามาเป็นหลักแสนคน และในปีหน้ามีการจองพื้นที่จัดงานมาแล้ว 70% นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้จัดงานอีเวนต์รายใหญ่ของโลกรายหนึ่งที่จะมาร่วมลงทุนสร้างศูนย์ประชุมและการแสดงเพิ่มเติมอีกด้วย
กิจกรรมนี้ถือเป็นการเพิ่มเค้กของตลาดนักท่องเที่ยว เป็นเค้กชิ้นใหม่ เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มนักธุรกิจกลุ่มใหม่ที่มีคุณภาพสูง และใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 3-4 วัน
นอกจากนี้ก็จะมีการโปรโมตเพื่อยกระดับให้กรุงเทพฯ เป็น Hub of Art of Asia ที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์ ได้สนับสนุนศิลปินไทยมาตลอดเวลากว่า 15 ปี เป็นรายแรกที่นำผลงานของศิลปินไทยมาจัดแสดงเป็น public arts ประจำในศูนย์การค้า และจัดกิจกรรมต่าง ๆ ส่งเสริมความสามารถของศิลปินไทยตลอดมา
ตั้งแต่นี้ไปจนถึงปีหน้า เราเตรียมที่จะทำงานร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สสปน. ที่จะไป pitch งานอาร์ตแฟร์ระดับโลกมาจัดในไทยให้ได้
รวมถึงเสนอรัฐบาลที่จะผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการจัดงานศิลปะระดับโลก เพื่อดึงดูดบุคคลในวงการศิลปะเข้ามาในประเทศไทย เรื่องนี้ถือว่าเป็น 1 ใน soft power ที่สำคัญ ที่จะสามารถ generate เม็ดเงินเข้าประเทศได้
ล่าสุดมีแผนจะลงทุนเปิด ศูนย์ศิลปะระดับโลก “เดอะ ริเวอร์ มิวเซียม” พื้นที่ 8,000 ตร.ม. ในปี 2026 ด้วยงบฯลงทุน 400 ล้านบาท เพื่อทำให้ ไอคอนสยาม เป็นแลนด์มาร์กระดับโลก
สุดท้ายคือ ผู้นำการส่งเสริม soft power ผ่านความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่สยามพิวรรธน์ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่นำสุดยอดฝีมือในด้านต่าง ๆ ของไทย เพื่อนำเสนอ soft power ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น ดีไซเนอร์ และอื่น ๆ
รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs และพ่อค้าแม่ค้าจาก 77 จังหวัด จำนวนกว่า 6,000 ราย มารวมตัวกันนำเสนออัตลักษณ์ไทยรูปแบบต่าง ๆ ผ่านเมืองสุขสยาม บนพื้นที่ถึง 10,000 ตร.ม.
เป็นการสร้างสรรค์ soft power ในมุมของภูมิปัญญาไทย เรื่องของอาหาร เรื่องของหัตถกรรม เรื่องของของดีที่สุดในแต่ละจังหวัด ให้เข้ามาขายในไอคอนสยาม ซึ่งตลอด 5 ปีที่เปิดเมืองสุขสยาม สามารถ generate รายได้ร่วม 2,000 ล้านบาท กลับไปที่ 77 จังหวัดทั่วไทย
นอกจากนี้ การสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยผ่านธุรกิจรีเทลของสยามพิวรรธน์ อันได้แก่ ICONCRAFT, ODS และ ECOTOPIA ก็สามารถขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศ ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์พร้อมที่จะร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งพันธมิตรระดับโลก ยกระดับ soft power ของคนไทย ให้เป็นที่ชื่นชมบนเวทีโลกด้วย
ปี’67 ประกาศเพิ่มงบฯอีกเท่าตัว
“ชฎาทิพ” ยังกล่าวด้วยว่า จากกิจกรรมอัดแน่นไตรมาสสุดท้ายดังกล่าว หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สยามพิวรรธน์ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยได้นักท่องเที่ยว 30 ล้านคนในสิ้นปีนี้ ซึ่งภาคเอกชนต้องร่วมแรงร่วมใจเพื่อจะทำให้ไตรมาสสุดท้ายชนะประเทศอื่น ๆ ให้ได้
โดย 7-8 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้นักท่องเที่ยวคุณภาพ คือนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเป็นตลาดที่ควรส่งเสริม เพราะเขามาเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่ไม่ต่ำกว่า 3-4 คืน บางคนอยู่เป็นอาทิตย์ ใช้สอยสูง
ฉุดการใช้เงินค่าใช้จ่ายต่อหัวโดยเฉลี่ยในศูนย์การค้าของเรา เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 8,500 บาท/คน/วัน จากเดิมที่อยู่ในระดับ 5,500 บาท และนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางถือเป็นเค้กก้อนใหม่ boost ได้ และจากนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนที่รัฐบาลเพิ่งประกาศ มั่นใจว่าไตรมาสสุดท้ายนี้ โดยเฉพาะวันชาติจีนในต้นเดือนตุลาคมที่จะมีวันหยุดยาว จะทำให้มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามาก
ซีอีโอกลุ่มสยามพิวรรธน์ย้ำในตอนท้ายว่า “สำหรับปีนี้ก็คาดหวังว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับไปเท่าก่อนโควิด-19 นอกจากการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ ๆ อย่างที่สยามพิวรรธน์กำลังทำอยู่แล้ว ประเทศไทยจะต้อง new story new event ที่จะขายมากกว่า soft power เดิม ๆ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลเต็มที่ เอกชนก็เต็มที่ ถ้าเราช่วยกัน ตัวเลข 40 ล้านคน กลับมาได้แน่นอน และปีหน้าสยามพิวรรธน์ก็จะทุ่มงบฯเพิ่มจากเดิมอีก 1 เท่าตัว”