กิฟฟารีนปลุกตลาดโค้งท้าย ทุ่มจัดงาน “Expo 4 ภูมิภาค”

กิฟฟารีน

กิฟฟารีนกางแผนบุกไตรมาสสุดท้าย ลุยจัดงานใหญ่ “Expo 4 ภูมิภาค” พร้อมกัน 4 จังหวัดทั่วไทย ตลอดเดือน ก.ย. 2566 หวังปลุกกำลังซื้อ ตั้งเป้าเงินสะพัดอื้อ ดันยอดรายได้บริษัทครึ่งปีหลังโตทะลักเดือนละไม่ต่ำกว่า 5-10%

วันที่ 20 กันยายน 2566 นายพงศ์พสุ อุณาพรหม รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่เพื่อการเติบโตองค์กร บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อปลุกกำลังซื้อครึ่งปีหลัง ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น กิฟฟารีนจะทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น ล่าสุดเตรียมทุ่มงบฯกว่า 7 ล้านบาท จัดงาน “Expo 4 ภูมิภาค” พร้อมกัน 4 จังหวัด ได้แก่ จ.ขอนแก่น จ.เชียงใหม่ อ.หาดใหญ่ (จ.สงขลา) และ จ.ระยอง ในทุก ๆ วันอาทิตย์ ตลอดเดือนกันยายน 2566 นี้

นายพงศ์พสุ อุณาพรหม

ส่วนในกรุงเทพฯ จะจัดในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักธุรกิจกิฟฟารีน และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก มีเม็ดเงินสะพัดภายในงานเพิ่มขึ้นในแต่ละจังหวัด และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศด้วย

“งาน Expo 4 ภูมิภาคที่ผ่านมา กิฟฟารีนได้จัดเป็นประจำทุก ๆ ปี แต่งดจัดไปในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่กลับมาจัดงานอีกครั้ง โดยมีนักธุรกิจกิฟฟารีนเข้าร่วมงาน รวมทุกภูมิภาคมากกว่า 5,000 คน ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้”

ทั้งนี้ ครึ่งปีหลังกิฟฟารีนจะอัดกิจกรรมการตลาดแบบเข้มข้นทุกรูปแบบ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทมียอดขายเติบโตทุกเดือน เพื่อผลักดันยอดรายได้รวมของบริษัทฯ สิ้นปี 2566 เติบโตทะลุ 5,000 ล้านบาท และมีฐานสมาชิกนักธุรกิจกิฟฟารีนเพิ่มขึ้น

กิฟฟารีน

นายพงศ์พสุกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการทำตลาดออนไลน์ หลังจากนี้บริษัทจะรุกเต็มสูบ โดยมีแผนกระตุ้นยอดในส่วนของการตลาดออนไลน์ คาดหวังเพิ่มขึ้น 100% ด้วยการส่งเสริมนโยบายและกลยุทธ์ให้นักธุรกิจกิฟฟารีน ขายออนไลน์เพิ่มมากขึ้นในทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลรูปร่าง ลดน้ำหนักที่ถือเป็นเรือธงของกิฟฟารีนในปีนี้ รวมถึงขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยบริษัทจะช่วยซัพพอร์ตในเรื่องของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และโฆษณาประชาสัมพันธ์

ปัจจุบันกลุ่มสินค้าที่ขายดีของกิฟฟารีน อันดับ 1 ยังเป็นกลุ่มสกินแคร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% รองลงมาคือ ผลิตภัณฑ์โปรตีนและผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร 20% ผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับร่างกายและครอบครัว 10% และผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ 10%

“สำหรับแผนการทำตลาดของกิฟฟารีนปี 2567 คงต้องรอดูทิศทางการตลาดไตรมาสสุดท้าย และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศก่อนว่าไปในทิศทางไหนถึงจะสามารถบอกได้ แต่อย่างไรก็ตาม คงเน้นทำตลาดในกลุ่มสินค้าเรือธงอันดับ 1 คือ กลุ่มสกินแคร์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นหลัก โดยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า หลังประสบความสำเร็จจากการทำตลาดหลายผลิตภัณฑ์ในปี 2566 อาทิ ผลิตภัณฑ์ Fitt Meal ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร (อาหารควบคุมและลดน้ำหนัก) และกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรตีน Vegan เป็นต้น” นายพงศ์พสุกล่าว