“กิฟฟารีน” บูมแบรนด์ HYA ทุ่มงบฯหวังเจาะคนรุ่นใหม่

กิฟฟารีนไฮยา

“กิฟฟารีน” ดึง 2 นักแสดงดัง นั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์ หนุนแบรนด์ Giffarine HYA ชิงฐานคนรุ่นใหม่ทั้งชาย-หญิง พร้อมทุ่มงบฯ 30 ล้าน สื่อสารครบวงจร หวังสร้างลอยัลตี้ต่อยอดระยะยาว มั่นใจสิ้นปีปิดยอดขาย 3 ล้านขวด หลังปีที่แล้วปิดยอด 2 ล้านขวด

นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงหรือดูแลผิวหน้านั้นมีการเติบโตสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น

การเติบโตนี้ทำให้บริษัทตัดสินใจรุกทำตลาดเต็มกำลังในช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยงบฯการตลาดกว่า 30 ล้านบาท โฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้า New Gen อายุต่ำกว่า 30 ปีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เนื่องจากคนกลุ่มนี้หากได้พบสินค้าที่ถูกใจจะมีแบรนด์ลอยัลตี้สูง นำไปสู่การซื้อ-ใช้ซ้ำและบอกต่อกันในวงกว้าง รวมถึงใช้ต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่

การเจาะผู้บริโภคกลุ่มนี้จะอาศัย Giffarine HYA Intensive Whitening ซึ่งวางโพซิชั่นให้สามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัยเป็นหัวหอกหลัก แล้วจึงตามด้วย Giffarine HYA Super Concentrate ซึ่งมุ่งไปที่กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี

อาศัยการสื่อสารแบบครบวงจร ทั้งการทำ TVC, แคมเปญออนไลน์-ออฟไลน์ เน้นย้ำด้านการดูแลโครงสร้างพื้นฐานของผิว รวมถึงทำเทรนนิ่งให้กับนักธุรกิจ และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเพื่อปลุกกำลังซื้อ โดยเฉพาะในฐานลูกค้า New Gen ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

โดยมีไฮไลต์เป็นการดึง “มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง” นักแสดง นักร้อง และนายแบบชาวไทย และ “อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์” นักแสดงและนายแบบชาวไทย มีผลงานแสดงละคร อาทิ สุดแค้นแสนรัก มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ HYA Intensive Whitening เนื่องจากพรีเซ็นเตอร์ทั้ง 2 คนมีฐานแฟนคลับจำนวนมาก หลากหลายทั้งอายุและเพศ จึงเชื่อว่าสามารถดึงคนกลุ่มนี้เข้ามาทำความรู้จักกับแบรนด์และได้ลองใช้สินค้าของบริษัท รวมถึงสร้างความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว

นายพงศ์พสุย้ำว่า ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้จะสามารถผลักดันให้ยอดขายสินค้าแบรนด์ HYA เติบโตเท่าตัว หรือแตะ 3 ล้านขวดในสิ้นปี 2565 จากต้นปี 2564 ที่ทำยอดขายได้ 2 ล้านขวด พร้อมปรับภาพลักษณ์ให้แบรนด์ HYA เป็นสินค้า unisex ที่สามารถใช้ได้ทุกเพศ หลังปัจจุบันกลุ่มคนที่ใช้ HYA เริ่มมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นภาพชัดว่าผู้ชายให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้าเพิ่มมากขึ้น โดยมีสัดส่วนถึง 30% ของฐานลูกค้า

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 นี้ กิฟฟารีนรับมือสถานการณ์ตลาดขายตรงมูลค่า 7 หมื่นล้านบาทที่อยู่ในภาวะติดลบ 3-4% จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการแข่งขันกับร้านค้าปลีกต่าง ๆ ที่สูงขึ้น ด้วยการพัฒนาสินค้าที่หลากหลาย ทั้งกลุ่มแมสไปจนถึงพรีเมี่ยมให้สามารถเข้าถึงลูกค้าทุกระดับเพื่อกระจายความเสี่ยง พร้อมอบรมให้กับนักธุรกิจให้สามารถปรับกระบวนการการทำงานให้มีความเชี่ยวชาญ และผสานทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ควบคู่กับการจัดโปรโมชั่นต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการสั่งซื้อสินค้า รวมไปถึงการเน้นสร้างความสะดวกให้กับธุรกิจ เน้นพัฒนาระบบซัพพอร์ต ช่องทางการสั่งซื้อสินค้า วิธีการส่งสินค้า