ดิจิทัลวอลเลตปลุกเงินสะพัด หนุนร้านสะดวกซื้อ-CPALL กำไรเพิ่ม

shop

รัฐบาลเตรียมแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต ในมุมหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์แบบทางตรง คงหนีไม่พ้นหุ้นค้าปลีก โดยเฉพาะ “ร้านสะดวกซื้อ” ซึ่งก็มีหลาย ๆ แบรนด์ในตลาด

ไม่ว่าจะเป็นร้าน “7-Eleven” ของ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ที่มี 14,545 สาขาทั่วประเทศ (ณ สิ้นปี 2566) ขณะที่ “Lotus’s go fresh” ของ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) ที่มี 2,522 สาขา ถัดมาก็ “Big C mini” ของ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ที่มี 1,567 สาขา ซึ่งมีเครือข่าย “ร้านค้าโดนใจ” อีก 6,530 สาขาด้วย

ด้านร้าน “Tops daily” ของ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) มีอยู่ 515 สาขา ส่วน “CJ MORE” ของ บมจ.ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป บริษัทในเครือ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป (CBG) มีสาขากว่า 1,000 สาขา รวมถึง “ร้านค้าถูกดี” อีกกว่า 5,000 ร้านค้า

ร้านสะดวกซื้อได้อานิสงส์

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วิเคราะห์ว่า ร้านค้าท้องถิ่นและร้านสะดวกซื้อ จะเป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่ได้ประโยชน์จากโครงการดิจิทัลวอลเลต โดยจากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคที่คาดว่าจะได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเลต ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกใช้จ่ายเงินโครงการในร้านค้าท้องถิ่นราว 40% และร้านสะดวกซื้อ เช่น CJ และ 7-Eleven ราว 26% ของประเภทร้านค้าที่เลือกใช้จ่ายทั้งหมด

“7-Eleven” หนุนกำไร CPALL

“ธรีทิพย์ วงษ์แสงไพบูลย์” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 5 แสนล้านบาท หากเป็นไปตามแผนที่ภาครัฐวางไว้ จะกระตุ้นยอดขายธุรกิจค้าปลีกปี 2567 เพิ่มขึ้นอีก 1% เป็นเติบโต 4% มีมูลค่า 4.2 ล้านล้านบาท จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 3% มูลค่า 4.1 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบจากปี 2566

ทั้งนี้ หากประเมินโดยอ้างอิงข้อมูลยอดขายค้าปลีกปีนี้เติบโต 4% คาดว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven จะมีการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโตเพิ่มขึ้นอีก 1-2% ในปีนี้ เป็นเติบโต 4-5% จากคาดการณ์เดิมที่คาดจะเติบโต 3% และคาดว่าจะหนุนกำไรสุทธิของ CPALL มีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2-3% จากประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ 21,100 ล้านบาท เติบโต 14% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และมีรายได้รวม 961,600 ล้านบาท เติบโต 7.4%

“ช่วงที่เหลือของปีนี้ก็มีโอกาสจะปรับประมาณการกำไรและรายได้ CPALL ใหม่ แต่ต้องรอดูพัฒนาการของโครงการนี้ก่อน ประกอบกับต้องพิจารณาผลกระทบจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น”

สำหรับภาพผลประกอบการ CPALL ในไตรมาส 1/2567 คาดว่าจะมีรายได้รวม 231,700 ล้านบาท เติบโต 7% YOY แต่ลดลง 1% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) มีกำไรสุทธิ 5,100 ล้านบาท เติบโต 24% YOY แต่ลดลง 7% QOQ โดย CPALL จะประกาศงบการเงินในวันที่ 10 พ.ค. 2567

“การเติบโต YOY ที่ดีขึ้นพอสมควรนั้น เป็นเพราะ SSSG ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3-4% จากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven โดยเฉพาะสาขาแหล่งท่องเที่ยวเติบโตได้ดีพอสมควร สอดคล้องกับปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นในช่วงตั้งแต่ก่อนตรุษจีน และยังมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้นจากสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มและสินค้า Personal Care ที่มีสัดส่วนยอดขายดีขึ้น รวมไปถึงได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้า (Ft) ที่ต่ำกว่าไตรมาส 1/2566”

กราฟฟิก ดิจิทัลวอลเล็ต

ส่วนกำไรที่ลดลง QOQ ของ CPALL ในส่วนกำไรธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven น่าจะออกมาใกล้เคียงไตรมาส 4/2566 แต่คาดกำไรจากบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ซึ่งปัจจุบัน CPALL ถือหุ้น CPAXT ในสัดส่วน 60% จะปรับตัวลดลง จากธุรกิจ Makro เพราะมีเรื่องของฤดูกาล (Seasonality) จากสินค้าแม็คโครที่ขายมากในช่วงปลายปี แต่ไตรมาส 1 ยอดขายแค่ทรงตัว

อย่างไรก็ดี ธุรกิจ Lotuss เริ่มเห็นกำไรดีขึ้น หลังปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพภายในมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และคาดว่าจะดีต่อเนื่องในไตรมาส 1-4 ปีนี้ โดยคาดกำไร CPAXT ไตรมาสแรกปีนี้จะอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท ลดลง QOQ แต่โตได้ 16% YOY

“เราเห็นยอดซื้อต่อบิลในร้าน 7-Eleven จะสูงขึ้น YOY จากปัจจัยอากาศที่ร้อนในปีนี้จะช่วยยอดขายในการสั่งดีลิเวอรี่เพิ่มขึ้น ซึ่งมี Ticket Size ที่ใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับลูกค้าเดินเข้าร้าน (100 บาท/บิล ต่อ 83 บาท/บิล) โดยในไตรมาสแรกปีนี้ CPALL เปิดสาขาไปราว 200 สาขา ใกล้เคียงปีที่แล้ว ซึ่งโดยเฉลี่ยจะเปิดสาขาช่วงครึ่งปีแรกสูงกว่าครึ่งปีหลัง จึงคาดไตรมาส 2 ปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 200 สาขา และครึ่งปีหลังจะเปิดไตรมาสละ 150 สาขา”

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 2/2567 ประเมินยอดขายธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven อาจจะโตไม่เด่นมากเทียบ YOY เพราะไตรมาส 2 ปีที่แล้วฐานสูงจากที่เป็นช่วงการเลือกตั้ง แม้ว่าไตรมาส 2 ปีนี้ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปีก่อนจะเป็นปัจจัยบวก และมีปริมาณนักท่องเที่ยวที่คึกคักจากสงกรานต์ แต่ทั้งนี้ยังได้ตัวช่วยจากเทรนด์มาร์จิ้นที่ดีขึ้น

จีดีพีโต-ยอดขายโต

นายธนวิชช์ บุญชูวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พาย กล่าวว่า โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะช่วยผลักดัน GDP ปีนี้ขยายตัวอีก 1.2-1.6% ซึ่งปกติแล้วความสัมพันธ์ (Correlation) ของ SSSG ของ CPALL กับ GDP ประเทศไทย

ถือว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกที่ค่อนข้างสูงประมาณ 78% สะท้อนว่าหาก GDP เติบโตขึ้น 1.5% ทาง SSSG ของ CPALL จะเติบโตเพิ่มอีก 1.5% ใกล้เคียงกัน ตอบรับปัจจัยบวกจากมาตรการนี้ จากเดิมคาดโต 3% จะกลายเป็นโต 4.5% และประเมิน CPALL จะมีกำไรสุทธิในปีนี้จากเดิม 21,856 ล้านบาท จะเติบโตขึ้น 6.5% ขยับมามีกำไรสุทธิ 23,271 ล้านบาท