
“แอมเวย์” เปิดเกมรุกชิงตลาดวีแกน 4.5 หมื่นล้าน ส่ง “จีแอนด์เอช” สูตรวีแกน ลุย พร้อมทุ่มงบฯ 200 ล้าน จัดกิจกรรมทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ เร่งเครื่องหวังเพิ่มสัดส่วนกลุ่มคนรุ่นใหม่ “มินเลนเนียม-เจน Z” มั่นใจหนุนกลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์ยอดทะลุ 1,200 ล้าน
นายทศพร นิษฐานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทรนด์ของผู้บริโภคในหมวดของผลิตภัณฑ์เพอร์ซันนอลแคร์และความงาม มีแนวโน้มความสนใจและความต้องการสินค้าที่มีความพิถีพิถัน และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น สอดรับตลาดสินค้าวีแกนและแพลนต์เบสที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งคาดว่าในปี 2567 ตลาด Plant-based Food ในประเทศไทย จะมีมูลค่าถึง 45,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10%
ดังนั้นเพื่อต่อยอดการเติบโตของธุรกิจหลังจากนี้ไป แอมเวย์ จึงวางหมุดที่จะสร้าง Health & Wellbeing ผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่มีส่วนผสมจากพืชธรรมชาติ หรือ Power of Plant ด้วยการปรับไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์
ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “จีแอนด์เอช กู๊ดเนส แอนด์ เฮลท์” (g&h Goodness & Health) ใหม่ ด้วยสูตรวีแกน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิวกายที่ปราศจากสารเคมีที่อาจก่อให้ผิวแพ้ง่าย ไม่มีส่วนผสมและการทดลองจากสัตว์ อีกทั้งผ่านการทดสอบการแพ้จากแพทย์ผิวหนัง ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยขวดบรรจุภัณฑ์ใช้ส่วนผสมจากวัสดุรีไซเคิล 30%
“มั่นใจว่าศักยภาพและความแข็งแกร่งของกลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์จะสามารถสร้างยอดขายได้ 1,200 ล้านบาท หรือโต 5% ในสิ้นปีนี้ ปัจจุบันสินค้าหมวดเพอร์ซันนอลแคร์ คิดเป็นสัดส่วน 8% ของสินค้าทั้งหมด”
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 แอมเวย์ก็จะยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจขายตรงอย่างเข้มข้น ภายใต้การมีผลิตภัณฑ์ใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์นิวทริไลท์ กลุ่มเครื่องกรองน้ำ กรองอากาศ กลุ่มผลิตภัณฑ์จีแอนด์เอช และกลุ่มผลิตภัณฑ์อาร์ทิสทรี โดยได้เตรียมงบฯการตลาดรวมทุกแบรนด์ต่อปีไว้ที่ประมาณ 200 ล้านบาท
โดยจะเน้นสร้างการรับรู้ในวงกว้าง และเน้นทำกิจกรรมทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ซึ่งในส่วนของออฟไลน์จะเป็นการตั้งบูทกระจายสินค้า ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้มีการจัดงาน Plant-Powered Wellbeing by Amway ที่นำสินค้าสุขภาพในหมวดแพลนต์เบสและวีแกนของแอมเวย์ อาทิ จีแอนด์เอช นิวทริไลท์ กลิสเทอร์ และอาร์ทิสทรี รวม 60 กว่ารายการ มาจัดตั้งบูทวางจำหน่ายสินค้า บริเวณลานทางเชื่อม BTS ชั้น 3 สยามสแควร์วัน เป็นต้น
ขณะที่ออนไลน์ จะเน้นใช้กลุ่ม KOLs และ Nano-Influencer เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผลิตภัณฑ์ของแอมเวย์เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มมินเลนเนียม และ Gen Z ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 45% ของลูกค้าทั้งหมด ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญอย่างมาก จึงมีแผนจะขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้ให้เพิ่มขึ้นกว่า 50%
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทได้มุ่งตลาดออนไลน์อย่างเข้มข้น ส่งผลทำให้ภาพรวมยอดขายจะมาจากออนไลน์เพิ่มขึ้น 53% เมื่อเทียบกับช่องทางทั้งหมด จากเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่มีสัดส่วนอยู่เพียง 25% ขณะเดียวกันใบสมัครสมาชิก และนักธุรกิจกว่า 70% ก็ยังมาจากช่องทางออนไลน์เช่นกัน ปัจจุบันแอมเวย์มีลูกค้าสมาชิกที่ใช้งานต่อเนื่องทั้งหมด 2 กลุ่ม แบ่งเป็นสมาชิก Active 7.2 แสนราย และนักธุรกิจ 3.3 แสนราย
“แม้ว่าภาพรวมตลาดขายตรงในประเทศไทยช่วงครึ่งปีหลังยังทรง ๆ เนื่องจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักธุรกิจกับลูกค้าเพิ่งเริ่มกลับมาทำได้เหมือนเดิม ประกอบกับยังมีปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจ และปัญหาความขัดแย้งอื่น ๆ บริษัทจึงคาดว่าสิ้นปี 2566 จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท หรืออยู่ในระดับใกล้เคียงของปีก่อน”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 2567 จะเริ่มเห็นสัญญาณบวกที่เป็นแรงส่ง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ และความคลี่คลายของดอกเบี้ย ฯลฯ รวมถึงจากการที่บริษัทได้เดินหน้ารุกขยายตลาดต่อเนื่อง และคาดว่าจะทำให้ยอดขายในปี 2567 กลับมาขยายตัวในระดับ single digit และมั่นใจว่าภาพรวมยอดขายใน 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2572 จะสร้างยอดขายแตะ 30,000 ล้านบาท ตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้ ปัจจุบันแอมเวย์มีสัดส่วนยอดขายแบ่งเป็น อาหารเสริม 70% ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด บำรุงผิวกาย และเครื่องสำอาง 15% เครื่องกรองน้ำ เครื่องกรองอากาศ 12% และอื่น ๆ อีก 3%