หลายคนรู้จัก “ศุภลักษณ์ อัมพุช” หญิงแกร่งแห่งวงการค้าปลีกเมืองไทย ผู้อยู่เบื้องหลังการปลุกปั้นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ อย่างเดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ ฯลฯ ให้กลายเป็นเดสติเนชั่นยอดนิยมของทั้งคนไทยและต่างชาติ
วันนี้ “เดอะ มอลล์กรุ๊ป” เริ่มเทน้ำหนักมายังเจเนอเรชั่นใหม่ เปิดรับไอเดีย สไตล์การบริหารที่เฟรชมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างของห้าง ในวันที่การแข่งขันของค้าปลีกร้อนแรงขึ้นทุกชั่วขณะ
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ขาลงยางพารา ราคาร่วงฉุดไม่อยู่ 10 วันราคาตกลงไปแล้ว 7 บาทกว่า
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “ไพลิน อัมพุช” หลานสาวของ คุณศุภลักษณ์ อัมพุช ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บริหาร บริษัท เอ็ม คิวเรเท็ด จำกัด ซึ่งอยู่ในเครือของเดอะมอลล์ ทำหน้าที่บริหารแบรนด์แฟชั่น ความงาม และไลฟ์สไตล์ ทั้งรูปแบบของการเป็นดิสทริบิวเตอร์ และการพัฒนาแบรนด์สินค้าของตัวเอง
“ไพลิน” เล่าว่า หลังเรียนจบ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เอ็ม คิวเรเท็ด ได้ก่อตั้งขึ้นมา เธอจึงได้เข้ามาทำงานที่นี่ทันที ด้วยความตั้งใจอยู่แล้วที่จะกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว โดยเริ่มตั้งแต่การเข้าไปเรียนรู้งานระดับทั่วไปอย่างเมอร์แชนไดเซอร์ ซึ่งนอกจากจะต้องเฟ้นหาแบรนด์ที่มีความน่าสนใจแล้ว ยังต้องฝึกสกิลการเจรจาเพื่อนำสินค้าเข้ามา และยังต้องคิดถึงผลตอบรับของลูกค้าด้วย
ซึ่งหลักเกณฑ์ของการคัดเลือกแบรนด์นั้น นอกจากจะต้องมองเทรนด์ให้ออกแล้ว ยังต้องพิจารณาไปถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ความชัดเจนและสม่ำเสมอของแบรนด์ในการออกสินค้า รวมไปถึงการตั้งราคาให้เหมาะสม
ในช่วงแรก เอ็ม คิวเรเท็ด โฟกัสไปที่การนำเข้าแฟชั่นกลุ่มลักเซอรี่ ดีไซเนอร์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นเซ็กเมนต์ที่ยังมีผู้เล่นค่อนข้างน้อย แต่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยบริหารภายใต้โมเดลของร้านมัลติแบรนด์ “คอนเท็มป์ ซาลอง” ซึ่งจะประกอบไปด้วยแบรนด์ต่าง ๆ ประมาณ 30 กว่าแบรนด์ จากยุโรป อเมริกา และเอเชีย มีราคาตั้งแต่หลักพันขึ้นไปจนถึงหลักหมื่นบาท
“ไพลิน” ชี้ว่า สินค้าแฟชั่นถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้เสียภาษีนำเข้าสูงถึง 30% แต่ในฐานะผู้นำเข้าก็ต้องบริหารจัดการให้ราคาสามารถแข่งขันกับประเทศรอบ ๆ ข้างได้ และโดนใจผู้ซื้อ แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงจึงทำให้คอนเท็มป์ ซาลอง มีกลุ่มลูกค้าค่อนข้างนิช
จึงมีแนวคิดที่ต้องการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ มากขึ้น โดยหันมาโฟกัสแบรนด์ที่ราคาเข้าถึงง่าย และอยู่ในโซนเอเชียแทน เพราะมีแนวโน้มที่จะเสียภาษีนำเข้าถูกกว่าด้วยข้อตกลงทางการค้าเสรีในกรอบต่าง ๆ ทำให้เธอตัดสินใจนำเข้าแบรนด์ไลฟ์สไตล์ สายเกาหลีที่กำลังเป็นกระแสอย่าง “สไตล์นันดะ” ซึ่งมีทั้งกลุ่มเสื้อผ้า แอ็กเซสซอรี่ และเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ “3CE” (ทรีซีอี)
ซึ่งปัจจุบันร้านสไตล์นันดะ มีทั้งหมด 3 สาขา ที่เอ็มควอเทียร์ พารากอน และพิงค์ โฮเทล แบงค์คอก สยามสแควร์ และมีเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง 3CE อยู่ 6 สาขา ด้วยผลตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องของเหล่าแฟนคลับเคบิวตี้ ทำให้เตรียมขยายสาขาอีก 3-5 แห่งในปีนี้เพิ่มเติม
และในปีนี้ “ไพลิน” ได้เตรียมเซอร์ไพรส์กลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบเคบิวตี้อีกรอบด้วยการนำเข้า “โซซุงอา บิวตี้ 1989” แบรนด์เครื่องสำอางที่กำลังมาแรงในแวดวงความงามเกาหลี ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครด้วยนวัตกรรมของสินค้า ในคอนเซ็ปต์ simple & fun เช่น สินค้าไฮไลต์อย่าง C&T BLEND รองพื้นที่มาพร้อมกับออยล์บำรุงผิว ในแพ็กเกจโมเดิร์นเพียงหมุนซ้าย และขวาเพื่อใช้งาน
โซซุงอา บิวตี้ฯ มีซับแบรนด์ย่อยถึง 3 แบรนด์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายตามช่วงอายุได้มากขึ้น อาทิ 16 BRAND เมกอัพ สีสัน เน้นเจาะกลุ่มวัยรุ่น VER. 22 CHONSUNGAH สำหรับกลุ่มที่โตขึ้นมาหน่อย สไตล์สาวมั่น และ WONDER BATH BY VIBES ไลน์สินค้าในชีวิตประจำวัน เหมาะกับกลุ่มครอบครัว
“ตลาดเครื่องสำอางในบ้านเราเติบโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะเคบิวตี้ ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจจำนวนมาก เช่นเดียวกับแบรนด์ต่าง ๆ ที่ต้องการเข้ามาในตลาดนี้ แต่ด้วยความสร้างสรรค์ของสินค้า และระดับราคาของทั้ง 3CE และโซซุงอา บิวตี้ฯ เฉลี่ยอยู่เพียงหลักร้อยเท่านั้น จึงมั่นใจว่าจะสามารถตอบสนองทั้งความต้องการของผู้บริโภคและรับมือกับการแข่งขันได้อย่างไม่ยาก”
ส่วนในกลุ่มแฟชั่น หลังจากมีพื้นที่ทดลองเสียงตอบรับของสินค้าจาก “คอนเท็มป์ ซาลอง” ทำให้เธอตัดสินใจนำแบรนด์ที่มีศักยภาพ สร้างยอดขายได้ดีเข้ามาต่อยอดเปิดเป็นร้านเต็มรูปแบบ เช่น อิน กู้ด คอมพานี แบรนด์เสื้อผ้าจากสิงคโปร์, โจเซฟ จากอังกฤษ ฯลฯ เป็นต้น
และแผนงานภายใน 3-5 ปียังคงต้องการขยายความครอบคลุมของกลุ่มลูกค้าออกไปเรื่อย ๆ ผ่านแบรนด์ และสินค้าใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ ตลอดจนพัฒนาแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา เติมเต็มประสบการณ์ของลูกค้าในทุกแง่มุม
“การทำรีเทลไม่เคยหยุดนิ่ง เพราะลูกค้าและคู่แข่งเองก็เปลี่ยนไปอยู่ตลอด สิ่งสำคัญของเราคือการปรับตัวให้เร็ว และยึดติดกับอะไรเดิม ๆ ไม่ได้”
กลยุทธ์ของเดอะมอลล์ในการแตกธุรกิจออกมารับบทบาทการเป็นดิสทริบิวเตอร์ เพื่อถือไพ่ที่เหนือกว่า ด้วยการเข้าถึงแบรนด์ที่มีศักยภาพทั้งหลาย ซึ่งสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ ที่นับวันไม่เพียงจะแข่งขันกันเฉพาะค้าปลีกเท่านั้น แต่ต้องแข่งกับออนไลน์ และอีคอมเมิร์ซด้วย
ทำไม่เป็น ไม่ได้หมายความไม่ได้…