“เมเจอร์” บูมหนังไทยเร่งผลิตป้อน CLMV

เมเจอร์บุกต่อ เปิดกว้างหาพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศผลิตหนัง หวังปลุกกระแสหนังไทยให้ดังไกลทั่วตลาดเอเชีย พร้อมเร่งพัฒนาเทคโนโลยี ตอบไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ปักธงขยายสาขาไซซ์เล็ก เจาะอำเภอ-ตำบล ตั้งเป้าปี 2568 เปิดให้ครบ 77 จังหวัดทั่วไทย

นายวิชา พลูวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วเอเชียเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโรงภาพยนตร์และคอนเทนต์ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี เช่นเดียวกับภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในไทยที่เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยทิศทางธุรกิจปี 2563 บริษัทจะเดินหน้าด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การเดินหน้าด้วยนโยบายเมเจอร์ 5.0 เน้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาให้บริการ เช่น ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ เป็นต้น และอยู่ระหว่างพัฒนาระบบ AL&ML เป็นระบบ movie recommendation engine เพื่อมอบโปรโมชั่นที่ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละคนมากขึ้น รวมถึงเตรียมนำเทคโนโลยีการฉายภาพยนตร์ด้วยระบบ giant laser screen ที่ให้ภาพคมชัดมากขึ้น จะทยอยเปิดให้บริการ 6 สาขาก่อน เช่น เอสพลานาดแคราย เมกาซีนีเพล็กซ์ เป็นต้น

ถัดมาคือ การขยายสาขาต่อเนื่อง ปี 2563 มีแผนจะเปิด 30 โรง เน้นที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก เช่น โลตัส หาดใหญ่ โลตัส พะเยา บิ๊กซีมหาชัย เป็นต้น ขณะที่ปี 2568 จะเปิดให้ครบ 1,200 โรงทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เวียดนาม และเมียนมา) ส่วนสิ้นปีนี้คาดว่าจะมี 169 สาขา 810 โรง รวม 183,958 ที่นั่ง และสุดท้าย คือ การยกระดับอุตสาหกรรมหนังไทยให้ได้มาตรฐานเป็น Tollywood (Thailand+Hollywood) ตั้งเป้าว่าปี 2568 จะผลักดันให้สัดส่วนหนังไทยมีส่วนแบ่งตลาด 50% ของตลาดรวม จากปัจจุบันที่มีเพียง 25-26%

พร้อมกันนี้ บริษัทจะใช้กลยุทธ์คอลลาบอเรชั่น (collaboration) ร่วมกับพันธมิตรหลากหลายทั้งบริษัทในไทยและต่างประเทศ เช่น ที่ผ่านมาร่วมกับเวิร์คพอยท์ผลิตหนังเรื่องไบค์แมน 2 และปี 2563 คาดว่าจะร่วมมือกับอีกหลายบริษัท และจะมีหนังไทยเข้าฉายอีก 52 เรื่อง จากปีนี้มี 15 เรื่อง

“ตอนนี้เมเจอร์ไปเปิดโรงหนังในระดับตำบลระดับอำเภอมากขึ้น ในแง่จำนวนโรงอาจจะไม่มาก หรือเปิดแค่ 1-3 โรง เพื่อให้สอดรับกับจำนวนประชากรในพื้นที่นั้น ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์คนดูต่างจังหวัด ทำให้ต้องผลิตหนังไทยมากขึ้น ปีนี้เป็นปีแรกที่สัดส่วนรายได้จากการขายตั๋วต่างจังหวัดมากกว่าโรงหนังในกรุงเทพฯและปริมณฑล”

นอกจากนี้ยังจะส่งออกหนังไทยออกไปขายยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เมียนมา อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น ล่าสุดได้ร่วมทุนกับพันธมิตรที่จีน เพื่อผลิตหนังร่วมกัน คาดว่าจะเข้าฉายต้นปี 2563 และอยู่ระหว่างเจรจาอีกหลายราย ซึ่งโดยรวมแล้วปีหน้าจะมีหนังร่วมทุนกับจีนเข้าฉายประมาณ 2 เรื่อง


สำหรับผลประกอบการช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กันยายน 2562) มีรายได้จากการขายบัตรชมภาพยนตร์ 4,392 ล้านบาท สิ้นปีนี้คาดว่ารายได้รวมจะเติบโต 15% จากปีก่อน โดยมียอดขายบัตรชมภาพยนตร์ประมาณ 40 ล้านใบ จากปีก่อนอยู่ที่ 35 ล้านใบ