โควิด-19 ไม่สะเทือนตลาดรองเท้านักเรียน 5,000 ล้านแข่งเดือด แต่ละค่ายตบเท้างัดลูกเล่นดึงลูกค้า “นันยาง” เปิดเกมรุกขยายฐาน เดินหน้าพัฒนาสินค้า-นวัตกรรมฟังก์ชั่นใหม่ ล่าสุดเปิดตัวรองเท้าผ้าใบ “นันยาง แฮฟ ฟัน” เจาะเด็กอายุ 6-9 ขวบ ชูจุดขาย แถมฟรีเชือกยืดหยุ่นลดการสัมผัสป้องกันการติดเชื้อ พร้อมเร่งกำลังการผลิตชิงยอดขายช่วงแบ็กทูสกูล เผยรายได้ไตรมาส 1 เติบโต 3% จากออร์เดอร์ร้านค้าเตรียมขายก่อนเปิดเทอม ลั่นสิ้นปีตั้งเป้าโต 5%
นายจักรพล จันทวิมล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าผ้าใบนันยาง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเนื่องจากสินค้าแบรนด์นันยางไม่ใช่สินค้าแฟชั่นหรือสินค้าฟุ่มเฟือย แต่อยู่ในกลุ่มสินค้าจำเป็นเพื่อการใช้งานอย่างคุ้มค่า ทำให้ทุกสถานการณ์นันยางสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งได้ จากช่องทางขายหลัก ได้แก่ เทรดิชั่นนอลเทรด (4,000 ร้านค้า) กว่า 75% โมเดิร์นเทรด 20% และช่องทางออนไลน์ เน้นวางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม ลาซาด้า ช้อปปี้ และกลุ่มโซเชียลคอมเมิร์ซ รวมเป็น 5% แม้เป็นสัดส่วนที่ไม่มาก แต่ช่องทางออนไลน์ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมหาศาล
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
สำหรับทิศทางการบริหารงานในช่วงโควิดที่ผู้บริโภคมีวิถีชีวิตแบบใหม่หรือนิวนอร์มอล บริษัทได้ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์พัฒนาจุดแข็งและลดจุดอ่อนเพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในระยะยาว ในการตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างตรงจุด
ล่าสุดได้เปิดตัวรองเท้าผ้าใบนักเรียนนันยาง แฮฟ ฟัน (NANYANG Have Fun) ราคา 285 บาท เจาะกลุ่มนักเรียนชั้นประถม อายุ 6-9 ขวบ ชูจุดขาย แถมฟรีเชือกยืดหยุ่น มูลค่า 69 บาท ที่ไม่ต้องผูก ลดการสัมผัสเชื้อโรคจากรองเท้าเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างนันยางกับฮัมมิ่งเบิร์ด บริษัทวิจัยที่ศึกษาแนวคิดของเด็กไทยวัยประถม ทำให้พบปัญหาคือการผูกเชือกรองเท้า โดยเฉลี่ยจะต้องผูกเชือกมากกว่าคนละ 10 ครั้งต่อวัน ซึ่งมีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคจากรองเท้าได้
โดยคาดว่าสินค้านี้จะมีอัตราการเติบโตกว่า 20-25% และจะมีการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้ามาเป็นสีสันในตลาด ควบคู่กับการทำตลาดสร้างการรับรู้แบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้ส่งแคมเปญภาพยนตร์ “คนกลาง ๆ อย่างฉัน” สื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่
นอกจากนี้ ยังเตรียมพร้อมด้านการผลิตของรองเท้าผ้าใบ เพื่อให้ทันกับเทศกาลการขายในช่วงแบ็กทูสกูลที่เลื่อนมาอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม จากเดิมที่จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี โดยช่วงนี้ถือเป็นหน้าขายที่สร้างรายได้กว่า 70-80% ของยอดขายทั้งปี
ขณะที่ตลาดรองเท้านักเรียนในภาพรวม มูลค่า 5,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลง โดยเฉลี่ยผู้ปกครองยังซื้อรองเท้า 3 คู่ต่อปี โดยแบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบ 60% รองเท้านักเรียนหญิง 35% และรองเท้าอื่น ๆ 5% โดยนันยางอยู่ในกลุ่มรองเท้าผ้าใบ และมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 43%
อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันสูง ปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาด 10-15 แบรนด์ หลัก ๆ จะแข่งขันในแง่ของอีโมชั่นนอล แต่ละรายจะงัดลูกเล่นเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น ซื้อรองเท้าแถมของเล่น และสร้างคอนเทนต์ชูจุดขายใส่แล้วเท่ ใส่แล้วเรียนเก่ง แต่สุดท้ายการตัดสินใจซื้อจะอยู่ที่ฟังก์ชั่นและราคาที่เข้าใจง่าย โดยในตลาดรองเท้าจะมีราคาขายตั้งแต่ 99-400 บาท
อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาพรวมตลาดจะเริ่มฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติได้ เพียงแต่ต้องรอเวลาที่เหมาะสม ส่วนตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียนจะเป็นการชะลอการตัดสินใจซื้อเท่านั้น พอถึงฤดูกาลเปิดเทอมกำลังซื้อก็จะกลับมา และเชื่อว่าสินค้าใหม่ที่เปิดตัวจะสร้างความคึกคักให้กับตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียนในเดือนมิถุนายนนี้ได้
นายจักรพลกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมของนันยางในปี 2562 ที่ผ่านมา มีรายได้เติบโต 10% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในไทย 85% และต่างประเทศ 15% โดยปัจจัยการเติบโตหลัก ๆ มาจากอัตราการเติบโตของรองเท้าผ้าใบนักเรียนในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะการเปิดแบรนด์ Superstar รองเท้าผ้าใบนักเรียนราคาประหยัด โดยกำหนดราคาต่ำกว่านันยางประมาณ 20% ราคาเริ่มต้นที่ 249 บาท ตามด้วยการเปิดตัวสินค้ารุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น ได้แก่ รองเท้าผ้าใบ NanyangRED limited edition 2019 และรองเท้าแตะ KHYA ที่ผลิตจากขยะทะเล ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า รวมถึงใน
ช่วงไตรมาส 4 ยังสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกไปในแถบประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยมีรายได้เติบโตขึ้นตามลำดับ
ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 1 เติบโตขึ้น 3% เนื่องจากร้านค้าเริ่มสั่งซื้อรองเท้าเพื่อรองรับเทศกาลเปิดเทอม ตลอดจนค่าเงินบาทที่อ่อนตัวส่งผลให้การส่งออกดีขึ้น โดยเฉพาะประเทศพม่าที่เป็นช่วงไฮซีซั่นและมีเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต และในสิ้นปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตอยู่ที่ 5%