“จีคิว” รุกหนักฟังก์ชั่นแฟชั่น ขนอินโนเวชั่น-แตกไลน์สินค้าย้ำเบอร์ 1

“จีคิว” ปรับทัพรับตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นระอุ ทรานส์ฟอร์มสู่แบรนด์ “ฟังก์ชั่นแฟชั่น” เน้นจุดแข็งเสื้อผ้านวัตกรรม ใช้งานคงทน ทำความสะอาดง่าย ตอบโจทย์อินไซด์ลูกค้ายุคโควิด-19 เจาะลูกค้าแบบยูนิเซ็กซ์ พร้อมชูกลยุทธ์การตลาดแบบออมนิแชนเนล ผสานครบเครื่องทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ อัดโปรโมชั่น-ขนคอลเล็กชั่นใหม่ จีคิว คัลเลอร์ รับสงกรานต์ พร้อมต่อยอดความสำเร็จหน้ากากอนามัย ส่ง “จีคิว แม็กซ์-สคูล แมส แพ็ค” บุกต่างประเทศ ลั่นสิ้นปีโตดับเบิลดิจิต

นางภาระวี วชิรมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบุคคล บริษัท สุภารากรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อผ้าแบรนด์ “จีคิว” (GQ) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากบริษัทมีการปรับโฉมและรีแบรนด์ใหม่ เมื่อปลายปี 2562-2563 ที่ผ่านมา ด้วยการทรานส์ฟอร์มแบรนด์ครั้งใหญ่ สู่ความเป็นแบรนด์ที่เน้นอินโนเวชั่นและตอบโจทย์อินไซต์ลูกค้า ผ่านความเป็นฟังก์ชั่นแฟชั่นมากขึ้น โดยมีสินค้าชิ้นแรกที่สื่อถึงไดเร็กชั่นใหม่คือ เสื้อเชิ้ต จีคิว ไวท์ เสื้อเชิ้ตนวัตกรรมที่เน้นแก้ปัญหาเสื้อขาวหมอง ไม่เรียบ ควบคู่กับการก้าวเป็นแบรนด์ที่มีความคุ้มค่า ใช้งานได้นาน และมีความหมายสำหรับลูกค้า โดยไม่เน้นความหวือหวาเหมือนแฟชั่นทั่วไป

จากนั้นก็มีการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก ทำให้บริษัทต้องมีการปรับแผนการดำเนินงานในบางส่วนเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการแตกไลน์สินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในช่วงนั้น อาทิ หน้ากากอนามัย นวัตกรรมเสื้อกันน้ำ เป็นต้น ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายรวมได้กว่า 1,500 ล้านบาท

“ก่อนการทรานส์ฟอร์ม เรากังวลพอสมควรกับฐานลูกค้าเก่าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์ในแง่ของภาพลักษณ์ที่จะเปลี่ยนไป แต่หลังจากมีการปรับเปลี่ยนแล้วพบว่า ฐานลูกค้าเก่าเรายังอยู่ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ได้กว้างมากขึ้น ทั้งนักเรียน นักศึกษา กลุ่มวัยเริ่มทำงาน และคนวัย 50-60 ปีมากขึ้น จากเดิมที่ฐานลูกค้าเดิมอยู่ในช่วงอายุ 35-60 ปี”

ต่อยอดความสำเร็จ-เร่งเติบโต

นางภาระวีระบุด้วยว่า ปีนี้ภาพรวมธุรกิจแฟชั่นยังมีแนวโน้มการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงมาก แต่สำหรับจีคิวเองถือเป็นปีแห่งการเร่งเครื่องในการสร้างการเติบโต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะยาวในการก้าวสู่การเป็นผู้นำในทุกแคทิกอรี่ที่แบรนด์เข้าไปทำตลาด จากวันนี้ที่จีคิวเป็นผู้นำในกลุ่มเสื้อเชิ้ตขาว และหน้ากากอนามัย ด้วยโพซิชั่นที่ว่าสินค้าจะเป็นอะไรก็ได้ที่เป็นเสื้อผ้ากลุ่มสวมใส่ที่มีนวัตกรรมตอบโจทย์การใช้งาน ภายใต้ยุทธศาสตร์หลักในเรื่องของการพัฒนาสินค้านวัตกรรมเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และจะมีสินค้าใหม่ ๆ ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง และเน้นโปรดักต์ที่ทุกคนสามารถใช้ได้ทุกวัน (everyday product) ควบคู่กับผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ทั้งกลุ่มเสื้อผ้า กลุ่มหน้ากากอนามัย รวมถึงการมองสินค้าใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเข้ามาทำตลาดด้วย โดยสินค้าเรือธง หรือฮีโร่โปรดักต์ในปีนี้ หลัก ๆ จะยังเป็นหน้ากากอนามัย เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต และเสื้อโปโล ที่เน้นจุดขายความเป็นสินค้านวัตกรรม

ปัจจุบันจีคิวมีไซซ์เสื้อเชิ้ต 12 ขนาด, โปโล 6 ขนาด ซึ่งถือว่ามากที่สุด และมีความเป็นยูนิเซ็กซ์ ที่ผู้ชายและผู้หญิงใส่ได้ โดยไม่แตกไปสู่แฟชั่นผู้หญิง และแม้ในวันนี้ บริษัทจะยังเป็นธุรกิจครอบครัวอยู่ แต่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯก็ไม่ได้ปิดโอกาส วันหนึ่งหากแข็งแกร่งมากขึ้นก็พร้อมเปิดรับทุกโอกาสและการเติบโต

“แม้จีคิวจะเป็นเสื้อผ้าที่เน้นเจาะกลุ่มผู้ชาย แต่ในแง่ของการทำแคมเปญโปรโมชั่นนั้นก็จะมีการเจาะจงหรือให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้หญิงด้วย เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ผู้หญิงจะมีอำนาจการตัดสินใจซื้อมากกว่าผู้ชาย แม่บ้านมักจะเลือกซื้อชุดทำงานหรือเสื้อผ้าให้พ่อบ้าน ดังนั้น การทำโปรโมชั่นจะต้องจูงใจลูกค้าผู้หญิงให้สนใจและเข้ามาเลือกซื้อให้มากที่สุด” นางภาระวีกล่าวและว่า

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงนี้ บริษัทเตรียมนำ “จีคิว คัลเลอร์” เสื้อเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ เช่น จากสีส้มเป็นสีเหลือง จากสีฟ้าเป็นสีม่วง ฯลฯ ออกมาทำตลาดอีกครั้ง พร้อมเปิดแคมเปญลดราคารับซัมเมอร์ผ่านช่องทางออนไลน์ ลดสูงสุด 30-50% อาทิ เสื้อเชิ้ตเปลี่ยนสีราคา 490 บาท จากปกติ 2,990 บาท, เสื้อยืดเปลี่ยนสี 290 บาท จากปกติ 1,290 บาท และกางเกงเปลี่ยนสี 390 บาท จากปกติ 1,990 บาท หลังจากเลื่อนมาจากสงกรานต์ปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์โควิด

เพิ่มช่องทาง-หาโอกาสใหม่

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองหาโอกาสและช่องทางการเติบโตใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าอย่างที่ผ่านมา โดยเฉพาะโมเดิร์นเทรดทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าปลีกในปั๊มน้ำมัน รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่จะมีบทบาทในการสร้างการเติบโตได้อีกมาก โดยปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่มเติม โดยจะเข้าไปในพื้นที่ที่จีคิวไม่เคยไปมาก่อน ทั้งโซนพลาซ่าในห้างที่ยังไม่เคยมีหน้าร้าน และพื้นที่ที่ไม่ใช่แหล่งช็อปปิ้งหลักแต่มีกำลังซื้อสูง จากปัจจุบันที่จีคิวมีจุดจำหน่ายที่เป็น DNA Concept Store 1 สาขา ร้านแบรนด์จีคิวที่มีอยู่ราว 200 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงคอนวีเนี่ยนสโตร์

ควบคู่กันนี้ก็จะโฟกัสการทำตลาดออนไลน์มากขึ้น จากก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด สัดส่วนออฟไลน์อยู่ที่ 90% ออนไลน์ 10% แต่พอมีโควิดห้างปิด ยอดขายเดือนแรก (มี.ค.-เม.ย.) ในช่องทางหน้าร้านหายไปทันที และมียอดขายมาจากเพียงช่องทางโมเดิร์นเทรด (นอกห้างสรรพสินค้า) และออนไลน์เท่านั้น ปัจจุบันสัดส่วนออนไลน์เพิ่มเป็น 20-25% โดยวางเป้าหมายในสิ้นปีเพิ่มสัดส่วนออนไลน์เป็น 30% และออฟไลน์ 70% โดยจะมีการทำกิจกรรมทางการตลาดด้วยโปรโมชั่นทั้งในช่องทางที่เป็นออนไลน์และออฟไลน์ โดยจะมีการผสานความเป็น omnichannel มากขึ้น

ส่วนตลาดต่างประเทศหลังจากบริษัทได้ส่งหน้ากากอนามัยเข้าไปจำหน่าย โดยเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ และได้รับการตอบรับอย่างดี ล่าสุดได้เปิดตัวหน้ากากอนามัยตัวใหม่ “จีคิว แม็กซ์” ที่มีความหนา 7 ชั้น สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 และไวรัส ได้เทียบเท่าหน้ากาก N95 และ “สคูล แมส แพ็ค” เข้าไปขยายตลาดไปยังสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง และขยายตลาดในอีกกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

“หน้ากากอนามัยทำให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดดได้เป็นอย่างมาก ปัจจุบันหน้ากากอนามัย มีสัดส่วนรายได้ราว 40% ของจีคิว แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% และยังเป็นตัวเชื่อมฐานลูกค้าใหม่ เซ็กเมนต์ใหม่ ๆ ที่บริษัทยังไม่เคยเข้าไปเล่นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเมนต์ผู้หญิง และเด็ก ตลาดต่างประเทศและมาร์เก็ตเพลซใหม่ ๆ ที่บริษัทไม่เคยเข้าไป ทั้งในเซเว่นฯ, คอนวีเนี่ยนสโตร์, ห้างสรรพสินค้า และอีคอมเมิร์ซ จากแนวทางการดำเนินงานดังกล่าว ตั้งเป้าการเติบโตในภาพรวมของบริษัทเป็นดับเบิลดิจิตในสิ้นปี 2564” นางภาระวีกล่าวในตอนท้าย