“อิชิตัน” จัดทัพเครื่องดื่มใหม่สยายปีกบุกบรูไน-ฟิลิปปินส์

“อิชิตัน” กางแผนโควิด ปูพรมเทรดดิชั่นนอลเทรด, สร้างความคุ้มค่า และเพิ่มมูลค่าแบรนด์ แยกส่วนธุรกิจน้ำวิตามินและน้ำด่าง ในการทำตลาดชัดเจน พร้อมเตรียมรีลอนช์ใหม่กลุ่มน้ำดื่มวิตามินรับตลาดโต หลังกระแสตอบรับดีเกินคาด ประกาศลุยอินโดนีเซียต่อเนื่องหลังฟื้นกำไร พร้อมส่ง Thai Milk Tea แบบกล่อง UHT กรุยทางฟิลิปปินส์-บรูไน

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตันกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาแม้จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ยังรักษาการเติบโตได้ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้ เพื่อรองรับสภาพตลาดที่แปรปรวน บริษัทพยายามผลักดันตลาดในประเทศให้เติบโตด้วยชาเขียวกลุ่ม mainstream ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดชาเขียว และเย็นเย็น เครื่องดื่มจับเลี้ยง

โดยมีผลิตภัณฑ์ไซซ์เล็กราคาคุ้มค่าเป็นขนาดชูโรง ซึ่งได้รับการตอบรับจากร้านค้าปลีกรายย่อยทั่วประเทศ เนื่องจากเหมาะกับกำลังซื้อของผู้บริโภค และมียอดขายจากกลุ่มเครื่องดื่มผสมวิตามินที่ได้รับแรงหนุนจากกระแสเครื่องดื่มดูแลสุขภาพที่เติบโตสวนทางตลาดเครื่องดื่มอื่น ๆ ทำให้ไตรมาส 1 ยอดขายเครื่องดื่มชาเขียวเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้

สำหรับแนวทางการรุกตลาดในประเทศจากนี้จะยังคงเน้นการขยายช่องทางจำหน่ายโดยมุ่งไปที่ร้านค้าปลีกดั้งเดิม ผ่านจุดแข็งของบริษัทที่มีสินค้าหลายประเภทและขนาด การสร้างคุณค่าและประสบการณ์ใหม่ ๆ แก่กลุ่มเป้าหมาย และการเพิ่มมูลค่าของแบรนด์ในการสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งในกลุ่มของแบรนด์เย็นเย็น ที่มีการเปิดตัวรสชาติใหม่, อิชิตัน กรีนที รสต้นตำรับ ดอกชาสกัด และการเปิดตัวอิชิตันกรีนแลปออกมารุกตลาดหน้าร้อน

โดยในไตรมาส 2 นี้ บริษัทได้เปิดตัวเครื่องดื่มซีรีส์ใหม่ “ICHITAN Green Tea X” 3 รสชาติหลัก และเพิ่มวิตามินเข้าไปเพื่อตอบรับกระแสสุขภาพ ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชั่น X ที่ต้องการความแปลกใหม่ ประกอบด้วย “Green Tea X Honey Lemon” เครื่องดื่มชาเขียวรสชาติยอดนิยมของคนไทย ผสมวิตามิน C จากอังกฤษ “Green Tea X Berry Lemon” เครื่องดื่มชาเขียวรสชาติเปรี้ยวหวาน ผสมวิตามิน C จากอังกฤษ และ “Green Tea X Kyoho Grape” เครื่องดื่มชาเขียวที่ได้รับการตอบรับจากวัยรุ่น ผสมวิตามิน A จากสวิตเซอร์แลนด์

นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว อิชิตัน น้ำด่าง 8.5 ผสมวิตามิน D และกิงโกะ เสริมทัพสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มสุขภาพผสมวิตามิน เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ส่วนแผนการเปิดตัวกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ชา (nontea) ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทแยกส่วนของกลุ่มน้ำด่างอิชิตัน 8.5 ออกจากกลุ่มสินค้าน้ำดื่มวิตามิน เพื่อความชัดเจนของสินค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ โดยกลุ่มน้ำผสมวิตามินจะมีการนำกลับมาเปิดตัวใหม่ (relaunch) ภายใต้แพ็กเกจ ราคา และจุดยืนใหม่ ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้

ขณะที่กลุ่มสินค้าจากกัญชง-กัญชา เตรียมเปิดตัวเครื่องดื่ม อิชิตัน กรีนแลป ที่มีส่วนผสมของ CBD กับกัญชงออกมา หลังรัฐออกใบอนุญาตให้ โดยขณะนี้เตรียมความพร้อมทั้งแพ็กเกจ สินค้า รวมไปถึงพันธมิตรที่จะซัพพลายสินค้าไว้เรียบร้อยแล้ว

นายตันกล่าวด้วยว่า ส่วนตลาดต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับตลาดอินโดนีเซียมากขึ้น ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท อิชิตัน อินโดนีเซีย หลังจากปีที่ผ่านมา ยอดขายเติบโต 16% เป็นยอดขายรวม 1,109 ล้านบาท มีกำไรเพิ่มขึ้น 56 ล้านบาท จากปี 2562 ที่ขาดทุน 55 ล้านบาท โดยจากนี้จะเน้นการต่อยอดสินค้าไปทำตลาดมากขึ้น ผ่านจุดแข็งของสินค้าของบริษัทที่เน้นเอกลักษณ์ไทย (Thai Series) และกลุ่มสินค้าใหม่ อาทิ Brown Sugar เน้นเจาะช่องทางเทรดิชั่นนอลเทรดมากขึ้น ด้วยขยายการทำตลาดเพิ่มเป็น 80 เมือง จากปัจจุบันที่มีการทำตลาดอยู่ 66 เมือง และตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีนี้ไว้ที่ 4.57 ล้านลัง หรือ 1,288 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 19%

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายตลาดเข้าไปในตลาดบรูไน และฟิลิปปินส์ ในกลุ่มสินค้า Thai Milk Tea แบบกล่อง UHT เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับกลุ่มเด็กและกลายเป็นลูกค้าในอนาคต โดยมีแผนเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3

ด้านธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) บริษัทเริ่มโฟกัสมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดได้ปิดดีลกับ อาซาฮี (Asahi Holding Southeast Asia SDN.BHD.) จากญี่ปุ่น และอีกหนึ่งแบรนด์ใหญ่ในประเทศไทย ที่เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ และวางเป้าหมายรายได้จากกลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิตไว้ที่ 300 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 1/2564 มีกำไรสุทธิ 121.6 ล้านบาท จากรายได้จากการขาย 1,278.8 ล้านบาท ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน และยังคงรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 9.4% ปรับลดลง 23.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 159.2 ล้านบาท แต่เติบโตขึ้น 44.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 ด้านบริษัทร่วม อิชิตัน อินโดนีเซีย ยังคงความสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในไตรมาส 1 ปีนี้ที่ 13.6 ล้านบาท