“อิชิตัน” กางแผนรับตลาดชาเขียวส่งสัญญาณบวกแรง เดินหน้าจับมือพันธมิตรยักษ์ใหญ่อัดกิจกรรมเต็มสูบ พร้อมส่งสินค้าใหม่ ปูพรมตลาดต่อเนื่อง ก่อนนำไบเล่หวนบุกอีกครั้ง เจาะเทรดิชั่นนอลเทรด และแม็คโคร ชูอินโดฯฐานบุกอาเซียน ตั้งเป้าโกยยอด 6,500 ล้าน
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาตลาดเคื่องดื่มต้องเผชิญกับปัญหาการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลต่อภาพรวมกำลังซื้อและอุตสาหกรรมโดยรวม
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
ทำให้ธุรกิจเครื่องดื่มติดลบ 5.1% และทุกแคทิกอรี่ได้รับผลกระทบโดยถ้วนหน้า รวมถึงตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม แต่จากสถานการณ์ที่เริ่มคลี่คลายขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และ 4
ทำให้ตลาดชาเขียวพร้อมดื่มกลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้งราว 4% ขณะที่ในช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ตลาดกลับมาเติบโตถึง 28% ทำให้แผนงานหลักในปีนี้ จะยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ 3N ที่ประกอบไปด้วย New Product, New Market และ New Business เพื่อปลุกยอดขาย
โดยมีชาเขียวรสชาติยอดนิยมเป็นสินค้าเรือธง ที่บริษัทจะเดินหน้าการตลาดเชิงรุกเพื่อสร้างยอดขาย ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวพร้อมดื่มรสฮันนี่ เลมอน, เย็น เย็น และชิซึโอกะ ด้วยแผนการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง
เพื่อปลุกกำลังซื้อผ่านกิจกรรมแคมเปญต่าง ๆ โดยเฉพาะช่องทางร้านค้าที่จะมีการจัดแคมเปญร่วมกับร้านค้าเทรดิชั่นนอลเทรด
“ปีนี้เราไม่มีนโยบายลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อรอเวลาหลายปีในการทำกำไร แต่เราจะเน้นการทำประโยชน์จากบริษัทที่เข้าร่วม และต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่า นอกจากนี้ยังจะเปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ตลาด โดยเฉพาะการกินอาหารเพื่อเป็นยา และสุขภาพกำลังมาแรง”
ด้านการสื่อสารการตลาดจะได้เห็นความร่วมมือ (collaboration) กับแบรนด์ชั้นนำเพื่อตอกย้ำรสชาติที่ชัวร์ สดชื่นยืนหนึ่ง สร้างสีสันให้ตลาดคึกคัก ด้วยการส่งชาเขียวพร้อมดื่มพรีเมี่ยม ชิซึโอกะ จับมือกับแคแร็กเตอร์ดัง มารูโกะ จากญี่ปุ่น และการร่วมมือกับบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ ทำกิจกรรมพิเศษ โดยจะเห็นความคืบหน้าในช่วงเดือน พ.ค. 65
นอกจากนี้ยังได้นำเครื่องดื่มไบเล่ (Bireley) ขนาด 280 มล. ราคา 10 บาท กลับมาทำตลาดอีกครั้งในช่วงเดือนมีนาคมนี้จะวางจำหน่ายเฉพาะในช่องทางเทรดิชั่นนอลเทรดและแม็คโครเท่านั้น
เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายคนต่างจังหวัด บุคคลทั่วไป ที่ชื่นชอบความสดชื่อจากน้ำผลไม้ หรือกลุ่มคนที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีน วางเป้ายอดขายไบเล่ในช่วงสิ้นปีนี้ไว้ที่ 100 ล้านบาท
และยังเตรียมเปิดตัวโฉมใหม่ (Revamp) ของแบรนด์ใหม่ของน้ำด่าง PH Plus ก่อนจะเปิดตัวเครื่องดื่มน้องใหม่รุกตลาด carbonated soft drink (CSD) คาดว่าจะได้เห็นความคืบหน้าในช่วงไตรปลายไตรมาส 2/65
“นอกจากนี้ยังมีแผนนำอิชิตันชาไทย ที่ขายดีในประเทศอินโดนีเซีย นำเข้ามาทำตลาดที่เมืองไทยโดยคาดว่าจะได้เห็นเร็ว ๆ นี้นอกจากนี้ยังจะเข้าไปในตลาดเครื่องดื่มกัญชง หรือ CBD หลังกฎหมายเริ่มเปิดกว้างขึ้นตามขั้นตอนอีกด้วย”
ขณะที่อิชิตัน อินโดนีเซีย ประสบความสำเร็จ โดยรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่ 59 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 33% จากความสำเร็จในสินค้าตระกูลชาไทย ซึ่งเป็นกลุ่ม cash cow ที่สามารถผลักดันกำไรได้ในระดับที่ดีครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นเบอร์ 2 มีมาร์เก็ตแชร์ 14.7% ในอินโดนีเซีย
โดยแผนงานจากนี้จะต่อยอดสินค้าใหม่ป้อนตลาดอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโคลด์บริว หรือน้ำรสนม ผสมวิตามิน ในชื่อ Ichiton Cal Vit ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ โดยวางเป้าหมายยอดขายในอินโดนีเซียปีนี้ที่ 1,825 ล้านบาท เติบโตขึ้น 29.62%
หรือคิดเป็นจำนวน 6.6 ล้านลัง เติบโตขึ้น 29.36% หรือมีกำไรไม่ต่ำกว่า 75 ล้านบาทในสิ้นปี’65 พร้อมกันนี้ยังเตรียมขยายตลาดเพิ่มเติมไปยังประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ โดยใช้โรงงานในอินโดนีเซียเป็นฐานส่งออกสำคัญ
บริษัทวางเป้าหมายรายได้ในสิ้นปีนี้ที่ 6,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 24% จากปี 2564 ที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 546.8 ล้านบาท เติบโต 6.1% จากปีก่อนอยู่ที่ 515.5 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 19.3% อัตรากำไรสุทธิ 10.5%
ขณะที่รายได้จากการขาย 5,228.3 ล้านบาท เติบโต 2.5% จากปีก่อนอยู่ที่ 5,099.3 ล้านบาท
“หลังราคาต้นทุนและน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ยอมรับว่าส่งผลให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น 3.2% ทำให้บริษัทมีการปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มในช่องทางค้าส่ง 2 บาทต่อลัง แต่ไม่ได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกแต่อย่างใด
ซึ่งเป็นราคาที่ช่องทางขายปลีกยอมรับได้ ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจากภาพรวมตลาดชาเขียวพร้อมดื่มที่มีดีมานด์เพิ่มขึ้น บริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 28% ทำให้ช่วยลดต้นทุนได้มาก
หากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังยืดเยื้ออาจจะกระทบให้ราคาน้ำมันและต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3-4แต่หากปัญหาจบเร็วก็จะเป็นผลดีต่อภาคธุรกิจ” นายตันกล่าวทิ้งท้าย