กระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน “ยาฟาวิพิราเวียร์” เพียงพอ สำรอง 25 ล้านเม็ด กระจายตามรพ. 22 ล้านเม็ด – สต๊อกส่วนกลาง 2.2 ล้านเม็ด ส่วนที่เป็นข่าวไม่พอนั้น เกิดจากบางรพ. ไม่ได้คีย์ข้อมูลเข้าระบบ VMI ต่อเนื่อง ทำให้ส่วนกลางไม่ทราบข้อมูล จึงเติมไม่ทัน
วันที่ 29 มีนาคม 2565 นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวประเด็น: การบริหารจัดการยาฟาวิพิราเวียร์ ในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ว่า จากสถานการณ์โควิดปัจจุบันติดเชื้อ 2 – 4 หมื่นรายต่อวัน รวมการตรวจ ATK ซึ่งที่ผ่านมามีการใช้ยารักษา ทั้งฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ และยาแพกซ์โลวิด อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลวันที่ 28 มี.ค.2565 มียาคงคลังฟาวิพิราเวียร์ทั่วประเทศทั้งหมด 22.8 ล้านเม็ด ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ยาสูงเฉลี่ยวันละ 2 ล้านเม็ด
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
ดังนั้น อัตราการใช้จึงอยู่ที่ 10 วัน แต่เรามียาเพิ่มเติมตลอดเวลา และได้มีการกระจายยาในระบบออนไลน์ที่เรียกว่า VMI เมื่อรพ.มีการใช้ยา จะคีย์ข้อมูลลงในระบบว่า ใช้ไปเท่าไหร่ ก็จะปรากฎข้อมูลที่ส่วนกลาง ทำให้ทราบว่าเหลือยาเท่าไหร่ จากนั้นก็จะเติมไปให้ โดยองค์การเภสัชกรรมจะเป็นผู้จัดหายาเติมให้
อีกทั้ง ใน 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยสูงขึ้น จึงมีการใช้ยาเพิ่มและไม่ได้คีย์ข้อมูลเป็นปัจจุบัน มาคีย์ครั้งเดียว ทำให้ส่วนกลางไม่ทราบว่า บางที่มีการใช้ไปเท่าไหร่ จึงเป็นเหตุให้เติมไม่ทัน แต่ไม่ได้ขาดยา เพราะมีการบริหารจัดการในจังหวัด รพ.ข้างเคียงส่งไปเติมได้
รองปลัดสธ. กล่าวอีกว่า มีการกระจายยาตั้งแต่เดือน มี.ค.จนถึงปัจจุบันประมาณ 72 ล้านเม็ด มีการใช้ยาฟาวิฯ 2 ปีมาแล้วราว 200 ล้านเม็ด อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือนมี.ค.มีการกระจายยาตลอดเวลาทุกสัปดาห์ โดยในการสำรองยาทั้งหมดยังมีสต๊อกส่วนกลางอีก 2.2 ล้านเม็ด รวมแล้วมียาสต๊อกทั้งหมด 25 ล้านเม็ด โดยกระจายตามรพ.ต่างๆประมาณ 22 ล้านเม็ด และอยู่ส่วนกลาง 2.2 ล้านเม็ด
สิ่งสำคัญคือ ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการทุกรายไม่จำเป็นต้องรับยา โดยเฉพาะไม่มีอาการ โดยทั้งหมดจะเป็นไปตามแนวปฏิบัติการรักษาของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งยาที่จ่ายไปนั้น ในส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ใช้ 26% ส่วนฟ้าทะลายโจร 24% และอีก 52% ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ทั้งนี้เป็นข้อมูลจากสูตรการรักษา “เจอ แจก จบ” เขตสุขภาพที่ 4 ,5 และ 6
โดยยาทุกตัวเป็นสารเคมี แพทย์ต้องเป็นผู้วินิจฉัยว่าใครสมควรได้รับตามอาการ เพราะยาอาจส่งผลต่อตับ ไตได้ จริงๆ เมื่อเราได้รับวัคซีนป้องกันโควิด โดยเฉพาะ 3 เข็มก็จะช่วยลดอาการ ทำให้อาการไม่รุนแรงได้ การรับยาจึงต้องเหมาะสมกับอาการเป็นไปตามแพทย์วินิจฉัย ซึ่งเมื่อฉีดวัคซีนแล้ว หากไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย หมายความว่าร่างกายต่อสู้กับเชื้อได้ ภายใน 5 วันก็จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อ คล้ายๆกับการทานยาฟาวิฯ ดังนั้น จึงควรสำรองยาให้กับผู้ที่ควรได้รับยา เพราะบางคนภูมิคุ้มกันอาจไม่ดีพอ จึงต้องใช้ยาไปช่วย
และที่ผ่านมาเราพบเพียง 0.5% ที่การรักษาแบบเจอ แจก จบ หรือ HI มีอาการรุนแรงสูงขึ้นต้องไปรพ. ดังนั้น ต้องสังเกตอาการหากรุนแรงขึ้นก็จะได้รับช่วยเหลือในการรักษาที่เหมาะสมต่อไป แต่ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า ผู้ป่วยโควิด ไม่ใช่ทุกรายต้องได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ต้องดูตามอาการ อย่าไปเสี่ยงให้ยาเกิดผลกระทบต่อตับต่อไตได้ จึงขอให้ใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล เพื่อลดผลกระทบต่อยา และยังลดค่าใช้จ่ายตัวเองและประเทศชาติ