รายงาน
รีวิวชีวิตการเป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เมื่อต้องเผชิญกับการป่วยบนความล่าช้าของระบบสาธารณสุขไทย
การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม 2562 ระยะเวลากว่า 2 ปี เชื้อร้ายคร่าผู้คนทั่วโลกไปแล้วกว่า 6 ล้านราย (ข้อมูล ณ 17 มี.ค. 2565)
ส่วนประเทศไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 3 ล้านราย และเสียชีวิตไปแล้วกว่า 2 หมื่นคน
โดยเฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อในเดือนมีนาคม 2565 มีผู้ติดเชื้อยืนยันจากศูนย์ข้อมูล COVID-19 ของรัฐบาล พุ่งสูง 20,000 ราย ไม่รวมผู้ติดเชื้อจากการตรวจหาเชื้อจากชุดตรวจ Antigen Test Kit หรือ ATK อีกจำนวนหลักหมื่นเช่นเดียวกัน
ในจำนวนผู้ป่วยหลายหมื่นของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีผู้สื่อข่าวจากประชาชาติธุรกิจ ติดเชื้อโควิด-19 และรีวิวการเป็นผู้ป่วยโควิด ที่ต้องเผชิญกับการป่วยติดเชื้อครั้งแรก รวมถึงพบอุปสรรคจากความล่าช้าทางสาธารณสุขของประเทศไทย
การป่วยโควิด-19 ครั้งนี้ ผู้เขียนติดเชื้อจากคนในครอบครัวซึ่งอยู่รวมกัน 3 คน และติดเชื้อทั้ง 3 คน เป็นผู้ป่วยมีอาการ 3 คน เข้ารักษาแบบระบบแยกกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation (HI) จำนวน 2 ราย และระบบ Hospitel จำนวน 1 ราย
การติดเชื้อครั้งนี้เป็นการติดเชื้อแบบมีอาการ ทั้งปวดไข้ ไอ มีเสมหะ กลิ่นรับรสใช้งานไม่ได้
1330 ระบบช้า คนป่วยจะตายกันหมด
เมื่อทราบผลคนในครอบครัวมีผลตรวจโควิดว่าเป็นบวก (ติดเชื้อ) แล้ว จึงติดต่อไปยัง 1330 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข ทั้งการโทรศัพท์ และการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ทันที
การโทรศัพท์ผ่าน 1330 เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยมีจำนวนมาก ทำให้โทรศัพท์ติดได้ยาก รวมถึงต้องใช้เวลาในการรอค่อนข้างนาน หลังจากที่ 1330 รับข้อมูลส่วนตัวไปแล้ว ทางคอลเซ็นเตอร์ได้แจ้งว่า ในเวลา 6 ชั่วโมง หากไม่มีการติดต่อกลับมา ให้ติดต่อที่หมายเลข 1330 อีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมง โดยไม่ได้รับการติดต่อจากใครใด ๆ ทั้งสิ้น จึงตัดสินใจติดต่อ 1330 กลับไปอีกครั้ง เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าการลงทะเบียน แต่กลับได้รับคำตอบว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยที่ผู้ป่วยไม่สามารถทราบสถานะการเข้ารักษาได้
จากนั้นจึงตัดสินใจไปรับการตรวจ RT-PCR ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านประชาชื่น โดยเสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 2,000 บาท ซึ่งผลการออกเป็นดังที่คาดการณ์ไว้
จึงได้ขอรับยาเพื่อกักตัวที่บ้าน ทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่าไม่สามารถจ่ายยาให้ได้ เนื่องจากได้มีการลงทะเบียนผ่าน 1330 ไว้แล้ว ต้องรับยาที่ลงทะเบียนผ่าน 1330 เท่านั้น ผู้ป่วยไม่สามารถเรียกร้องใด ๆ ได้ ต้องกลับไปรอรับยาที่บ้าน
จากนั้นมีมิตรสหายได้เสนอช่องทางในการรับยาและเข้าสู่ระบบการกักตัวที่บ้าน โดยให้รับยาผ่านโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล โรงพยาบาลเอกชนย่านปากเกร็ด นนทบุรี จึงได้รับยา อาหาร และการรักษาจากโรงพยาบาลนั้น และมีแพทย์รวมถึงบุคลากรโทรศัพท์ถามไถ่อาการของผู้ป่วยในทุกวันจวบจนหายดี
ย้อนกลับไปที่การลงทะเบียนผ่าน 1330 ของกระทรวงสาธารณสุขได้โทรศัพท์กลับมาอีกครั้งหลังจากติดเชื้อ 8 วัน เป็นอนามัยในพื้นที่สอบถามเกี่ยวกับการป่วยครั้งนี้ โดยผู้ติดเชื้อโควิดได้แจ้งเพียงว่า “มีการติดเชื้อ เข้ารับการรักษาและใกล้จะหายดีแล้ว”
ลมหายใจเดียวกัน ปตท. “เจอแจกจบ” ง่าย
หลังจากคนแรกพบเชื้อได้ 2 วัน คนที่ 2 ได้ติดเชื้อจากการใกล้ชิดจากคนแรก แม้จะมีการแยกห้องกันแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการติดเชื้ออยู่ดี การป่วยครั้งนี้มาพร้อมอาการต่าง ๆ ทั้งมีไข้ ไอ หนาวสั่น รวมถึงมีน้ำมูก หายใจยากลำบาก
หลังจากมีอาการรู้สึกไม่สบายตัวในช่วงค่ำของวันนั้นได้ทำการตรวจผ่านชุดตรวจ ATK ผลออกมาเป็น 2 ขีด เป็นการยืนยันว่าพบเชื้อโควิด-19 เราทำการติดต่อไปยัง 1330 ทั้งการโทรศัพท์ และการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์เช่นเดิม โทรศัพท์ไปที่ 1330 แต่ไม่มีผู้รับสาย จึงได้เข้าไปลงทะเบียนที่เว็บไซต์ไว้ก่อน
จากนั้นเราได้แจ้งที่ทำงานว่าต้องดำเนินการอย่างไรหลังจากนี้ ต้นสังกัดได้แนะนำให้เข้ารับการตรวจผ่าน “โครงการลมหายใจเดียวกัน” ของกลุ่ม ปตท. ร่วมกับโรงพยาบาลปิยะเวท ที่เปิดจุดให้บริการตรวจโควิด-19 “ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น” ณ อาคาร Enco Terminal ดอนเมือง
เช้าวันถัดมาได้เดินทางไปถึงสถานที่ตรวจ อาคาร Enco Terminal แถวดอนเมือง สถานที่ค่อนข้างใหญ่ เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00-14.00 น. มีผู้ใช้บริการไม่เยอะ ใช้เวลาการจัดการไม่นาน มีการแยกผู้ป่วยพบเชื้อและผู้เสี่ยงสูงออกอย่างชัดเจน
ในส่วนของผู้ป่วยที่มีผลบวกทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่า การตรวจหาเชื้อของโครงการเป็นการตรวจหาเชื้อแบบ ATK หากผลเชื้อเป็นบวก จะทำการคัดผู้ป่วยเข้าระบบ “เจอ แจก จบ” ซึ่งเป็นรูปแบบการรักษาโควิด-19 แบบผู้ป่วยนอกของกระทรวงสาธารณสุข โดยแจกยาตามอาการ และผู้ป่วยเข้าระบบการรักษาอยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์
เมื่อไปถึงเวลา 07.30 น.โดยประมาณ มีผู้ใช้บริการจำนวนน้อย ใช้รอไม่นานเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแทพย์เดินทางมาถึง ในเวลา 08.00 น. จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าระบบการตรวจหาเชื้อของที่นี่เป็นการตรวจด้วยระบบ ATK หากพบเชื้อยินดี ต้องพร้อมที่จะเข้ารับการรักษาแบบกักตัวที่บ้านได้
ไม่มีการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR ใด ๆ ทั้งสิ้น หากผู้ติดเชื้อต้องการผลเพื่อนำไปรับเงินประกันติดเชื้อ จะไม่สามารถทำได้ เป็นการตรวจหาเชื้อเพื่อคัดผู้ป่วยเข้าระบบ “เจอ แจก จบ” เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแบบระบบแยกกักตัวที่บ้าน หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ที่เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามหรือ Hospitel ที่จัดไว้ให้
เจ้าหน้าที่จะขอดูผลตรวจ ATK เบื้องต้น (ให้ถ่ายรูปคู่ผลตรวจ ATK กับบัตรประจำตัวประชาชน) จากนั้นจะให้กรอกข้อมูลต่าง ๆ ของเรา เมื่อกรอกเสร็จให้ทำการรอเรียกคิวเพื่อตรวจหาเชื้อโดยเจ้าหน้าที่อีกครั้ง
เมื่อตรวจหาเชื้อเรียบร้อย จากนั้นให้เราไปนั่งรอที่สถานที่จัดไว้ให้ โดยใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ผลออกมาเป็นบวก เจ้าหน้าที่จะให้เราเข้าสู่ระบบคัดกรองอีกครั้ง เพื่อยื่นความประสงค์เข้ารับการรักษาแบบใด จะเลือกแยกกักตัวที่บ้านหรือโรงพยาบาลสนาม ซึ่งเราสามารถเลือกได้ โดยเรายื่นขอเข้ารับการรักษาแบบแยกกักตัวที่บ้าน
จากนั้นเจ้าหน้าที่จำทำการกรอกข้อมูลต่าง ๆ ของเรา เพื่อนำรายชื่อเข้าระบบ โดยเราสามารถเข้าระบบได้โดยชื่อผู้ใช้เป็นหมายเลขบัตรประชาชน และรหัสผ่านเป็นหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเรา เจ้าหน้าที่ได้มีการแจ้งว่า ยาและอาหารจะมาในวันถัดไป
ตลอดช่วงเวลาการป่วยครั้งนี้ ในช่วงแรกเป็นช่วงที่ยากลำบากจากอาการป่วยที่หนัก และยาที่แพทย์จัดมาให้ยังเดินทางมาไม่ถึง รับประทานเพียงยาสมุนไพรที่มิตรสหายหามาให้ ทั้งฟ้าทะลายโจร, 5 ราก, จันทลีลา, แต่อาการยังทรง ๆ ที่มีหวัด ทั้งไข้ และไอในเวลาเดียวกัน ในเวลากลางคืนไม่สามารถนอนหลับท่านอนราบได้ ต้องนอนในท่านั่งเท่านั้น เนื่องจากเป็นหวัดมีน้ำมูกจำนวนมาก ทำให้หายใจไม่สะดวก จึงทำให้การนอนหลับได้เป็นเรื่องที่ลำบาก
วันถัดมาตามที่เจ้าหน้าที่แจ้งว่า จะมีอาหารและยาไปส่งตามที่อยู่ที่เราได้แจ้งไว้ ซึ่งอาหารมาในวันนั้นที่มีการแจ้งจริง ๆ ขณะที่ยายังเดินทางมาไม่ถึง ในวันนั้นคุณหมอจากโรงพยาบาลได้โทรศัพท์มาถามอาการ โดยแจ้งว่ามีการจัดยาให้ตามอาการป่วยให้แล้ว ทั้งยาฟาวิพิราเวียร์ ยาแก้ไอ ยาลดไข้ ยาแก้หวัด เราได้แจ้งกลับไปว่ายังไม่ได้รับยา ได้รับเพียงอาหารเท่านั้น
อาการป่วยเข้าสู่วันที่ 4 ช่วงสายของวัน เวลา 10.00 น. โดยประมาณ มีเสียงโทรศัพท์จากคนส่งอาหารแจ้งว่านำอาหาร 3 มื้อ พร้อมยามาให้แล้ว หลังจากได้รับยา ต้องกินยาฟาวิพิราเวียร์ ครั้งละ 9 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง จำนวน 2 ครั้ง จากนั้นเป็นครั้งละ 4 เม็ด ทุก 12 ชั่วโมง และรักษาตัวเองมาเรื่อย ๆ กินยา กินอาหารตามเวลาที่แพทย์กำหนด อาการป่วยก็ดีขึ้นตามลำดับ ตอนนี้เหลือเพียงอาการไอเท่านั้น ก่อนที่ตรวจผล ATK อีกรอบเป็นลบ หลังจากครบกำหนดการกักตัว แพทย์จะมาถามตรวจอาการผู้ป่วยอีกครั้ง ก่อนที่จะอนุญาตให้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้
ขณะที่อีกคนที่ป่วยได้เข้ารับการรักษากับที่โครงการลมหายใจเดียวกันเช่นกัน แต่เนื่องด้วยมีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจ ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนาม วินาทีแรกที่รู้ว่าต้องไปโรงพยาบาลสนาม ได้มีการคาดเดากันว่าเหมือนที่เคยออกข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ บนเว็บไซต์ออนไลน์ รู้สึกกลัวโรงพยาบาลสนาม แต่เมื่อไปถึงเป็น Hospitel โรงแรมอย่างดี จนรักษาตัวและกลับมากักตัวต่อที่บ้านอีก 3 วัน
ตลอดระยะเวลาการป่วยโควิด-19 ครั้งนี้ วินาทีแรกที่ทราบผลตรวจ มีความกังวลอย่างมาก กับการป่วยเป็นโรคติดเชื้ออันร้ายแรง ที่สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ได้รับความรัก ความห่วงใย จากครอบครัว เพื่อน ๆ มิตรสหาย ที่เข้ามาถามไถ่อาการอยู่เสมอ เนื่องด้วยยาที่ช้ากว่ากำหนด รวมถึงส่งสิ่งของที่จำเป็น อาหารแห้งต่าง ๆ ได้รับน้ำใจมากมายจากทุกคน ทำให้มองเรื่องแย่ ๆ ให้เป็นเรื่องที่ดี ในขณะที่ต้องเผชิญชีวิตกับช่วงเวลาอันยากลำบาก