“ซีพี โฟตอน” เสริมทัพทีมขาย-เซอร์วิสขึ้นผู้นำตลาดรถอีวีเพื่อการพาณิชย์ 

ซีพี โฟตอน เสริมทัพใหม่ ตั้งทีมพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และเครือข่ายงานบริการ มั่นใจขึ้นผู้นำตลาดรถไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ เตรียมทุ่มอีก 1,000 ล้านผุดโรงงานประกอบในไทย 

วันที่ 19 มกราคม 2566 นายกฤษณะ เศรษฐธรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี โฟตอน เซลส์ จำกัด เปิดเผย ผลประกอบการปี 2565 ว่าเติบโตขึ้น 59% ส่วนปี 2566 เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยยังรุ่ง โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มฟลีตและธุรกิจก่อสร้างขยายตัวต่อเนื่อง ซีพีโฟตอนตั้งเป้าขายปีนี้ไว้ราว ๆ 1,000 คันเป็นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าราว ๆ 300 คัน กวาดแชร์ไม่น้อยกว่า 3% ซึ่งตอนนี้พร้อมส่งมอบรถกลุ่มไฟฟ้าให้ลูกค้า หลังจากได้รับผลกระทบจากปัญหาเซมิคอนดรักเตอร์

“วอลลุ่มตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ต่อปีราว ๆ 3 หมื่นคัน 2 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากโควิด แต่เชื่อว่าปีนี้ทุกอย่างน่าจะกลับมาเท่าเดิม”

กฤษณะ เศรษฐธรางกูร

สำหรับแบรนด์ ซีพี โฟตอน เป็นที่ยอมรับในฐานะยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่มีความทันสมัย คุณภาพผลิตภัณฑ์ระดับ Best in Class มีรุ่นรถครอบคลุมทุกการใช้งาน ทั้งรถบรรทุกที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้า ประกอบกับบริษัทมีความจริงใจในการพัฒนาตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ไทยอย่างครอบคลุมรอบด้าน นอกเหนือจากจุดแข็งหลักของเราที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์โดดเด่นเป็นที่ยอมรับแล้ว 

บริษัทยังเร่งเติมเต็มงานบริการหลังการขายและการพัฒนาเครือข่ายให้แข็งแกร่งเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้รถทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันเรามีผู้แทนจำหน่ายที่มีศูนย์บริการซ่อมบำรุงครบวงจร พร้อมให้บริการทั้งหมด 23 แห่ง และศูนย์บริการสาขาย่อยเพื่อสนับสนุนการให้บริการแก่ลูกค้าอีก 5 แห่ง โดยยึดหลักว่าในทุกระยะ 200 กม. ซีพี โฟตอน จะต้องมีศูนย์บริการและอะไหล่ รวมถึงสามารถบำรุงรักษานอกสถานที่ให้แก่ลูกค้า ทั้งในและนอกเวลาทำการได้ทันท่วงที เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของลูกค้าราบรื่น ไม่มีสะดุดหรือหยุดนิ่ง เมื่อตัดสินใจเลือกใช้ยานยนต์ของซีพี โฟตอน

ปีนี้เรามีทีมพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และเครือข่ายงานบริการเข้ามาเสริมทัพ อาทิ คุณสมเกียรติ มาลาฤทธิพร รับผิดชอบงานแผนและนโยบายด้านการพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย และที่ปรึกษาโครงการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า คุณภูรินันท์ เมธีนันท์ รับผิดชอบงานแผนและนโยบายด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ คุณสุชาติ หวังมี งานแผนและนโยบายด้านการพัฒนาด้านบริการหลังการขาย เชื่อว่าจะทำให้เราขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ได้ไม่ยาก”

นายกฤษณะกล่าวอีกว่า หลังจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่าต่อเนื่อง ซีพี โฟตอน ยังได้เตรียมแผนที่จะตั้งโรงงานประกอบในประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2567 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนอีกราวๆ 1,000 ล้านบาท

ซีพี โฟตอน มุ่งเน้นการตอกย้ำแบรนด์ DNA คือ “The Future of Truck” ให้มีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ด้วยความพร้อมจากปัจจัยเชิงบวกรอบด้าน อาทิ การเปิดประเทศเต็มรูปแบบของจีน, ความตื่นตัวของผู้ประกอบการที่สนใจการทำตลาดแบบกรีนโลจิสติกส์โดยใช้รถอีวี หรือการมีความรู้ ความเข้าใจ พร้อมเปิดใจยอมรับในสินค้าแบรนด์จีน ซึ่งจริง แล้วมีตลาดการผลิตและส่งออกที่ใหญ่มากครอบคลุมภูมิภาคเอเชียยุโรปอเมริกา อันเป็นตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ใหญ่ที่สุดของโลก โดยที่ผ่านมา ซีพี โฟตอน ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการขนส่งและก่อสร้างในไทย เกิดการบอกต่อในกลุ่มผู้ใช้รถ และขยายฐานสู่ความเชื่อมั่นในงานประมูลงานของภาครัฐมากขึ้นตามลำดับ ด้วยการมีฟีจเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ มีแนวคิดมุ่งมั่นที่จะนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ที่สามารถรองรับอัตรา ผันผวนของต้นทุนธุรกิจ เช่น ค่าพลังงานและซ่อมบำรุง ได้อย่างยั่งยืน

พร้อมกันนี้ยังได้รับความร่วมมืออันดียิ่งจากตัวแทนผู้จำหน่ายทั่วประเทศ เร่งสร้างภาพลักษณ์ พัฒนาโชว์รูมให้เป็นแลนด์มาร์กในพื้นที่ที่กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงง่าย ตลอดจนมีการจัดอบรมพัฒนามาตรฐานฝ่ายขายและซ่อมบำรุงให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นด่านหน้าในการให้คำแนะนำการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ซีพี โฟตอน ได้อย่างเป็นมืออาชีพสูงสุด

ด้านผลิตภัณฑ์ในปีที่ผ่านมา รถบรรทุก 4 ล้อไม่ติดเวลา Aumark Flex มียอดการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้วยความเหนือกว่าของมาตรฐานผลิตภัณฑ์และราคาขายที่คุ้มค่าการลงทุน เอื้อประโยชน์ต่อการกระตุ้นการกลับมาลงทุนหลังภาวะโควิดคลี่คลายในกลุ่มธุรกิจ SMEs และลดภาระเงินผ่อน สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรถบรรทุกขนาดใหญ่และหัวลากก็ยังคงมียอดจองเข้ามาตามปกติซึ่งกำลังเร่งส่งมอบและเติมสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ

“เมื่อเร็ว นี้ เพื่อเป็นการขานรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยจีน ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซีพี โฟตอน ได้นำเข้ารถผสมปูนสำเร็จรูปคุณภาพสูง Mixer 270 ลอตแรกจากฐานการผลิตเมืองปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมมีแผนจะนำเข้า ยานยนต์เพื่อการพาณิชย์คุณภาพสูงอีกหลายรุ่นทั้งรถเครื่องยนต์ดีเซลและรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสัญญาณดีรับต้นปีที่จะมีการต่อยอดความร่วมมือและกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาคร่วมกันต่อไปในอนาคต”